พระนราธิป ตัวโน๊ตที่หายไป

พระนราธิป ตัวโน้ตที่หายไป (คัดลอกจาก หนังสือ แพรว)

ยี่สิบปีก่อน “ชาตรี” วงดนตรีชื่อไทยๆ แจ้งเกิดและได้รับการต้อนรับจากแฟนเพลงอย่างอบอุ่นด้วยผลงานที่โดดเด่นต่างจากวงสตริงในขณะนั้น โด่งดังอยู่นานจวบจนกระทั่งพวกเขาประกาศอำลาเวที
หลังจากนั้นนราธิป กาญจนวัฒน์ หนึ่งในห้าของชาตรี ผู้ทำหน้าที่หัวหน้าวง แต่งเพลง และร้องนำ
จึงตัดสินใจละจากโลกฆราวาส เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตลอดชีวิต
วันนี้แพรวมีโอกาสไปนมัสการพระนราธิปที่วัดลานนางฟ้า จังหวัดลพบุรี และได้รับความกรุณาให้พูดคุยซักถามได้ทุกเรื่อง
“ชีวิตเราตั้งแต่เกิดมาได้พูดอะไรไปมากมาย ขอเพียงประโยคเดียวที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่นก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วโยม”

ขอรบกวนท่านเล่าย้อนกลับไปถึงสมัยที่ยังเป็นฆราวาสอย่างย่อๆ

อาตมาเป็นลูกคนเดียว มีน้องสาวคนละแม่สองคน เรารับรู้ตั้งแต่เด็กว่าโยมพ่อแม่แยกทางกัน แต่ไม่คิดว่านั่นเป็นปมด้อย ไม่รู้สึกว่าขาดหรือเกิน คิดว่าปัญหาของผู้ใหญ่คือของผู้ใหญ่ คงเพราะได้รับการปลูกฝั่งที่ดี บวกกับเรามีพื้นฐานดีเป็นทุนเดิม เคยได้ยินไหม เด็กบางคนพ่อแม่เฝ้าอบรมสั่งสอนอยากให้เป็นคนดีแต่ไม่เป็นผล บางคนไม่ต้องสอนอะไรมากก็รักดี เราจึงไม่เชื่อว่าบุคคลที่อยู่ในครอบครัวที่มีปัญหาจะต้องเป็นคนก้าวร้าวหรือทำตัวเป็นปัญหาของสังคมเสมอไป แต่จังหวะชีวิตอาจทำให้คนนอกมองว่าเราห่างจากครอบครัวเพราะอยู่โรงเรียนประจำที่อัสสัมชัญศรีราชา พ่อเป็นนักร้องก็ต้องตระเวนไปทั่วประเทศอีก เขาเรียกว่าสายกรรมพาไป
จากอัสสัมชัญมาเรียนต่อที่เอซีซี อัสสัมชัญคอมเมิร์ช เรียนได้ปีกว่าก็ลาออก คิดว่าถ้าขืนยังเรียนต่อโดนไล่ออกแน่ๆ เพราะเรียนอ่อน ใจนะรัก แต่ปฏิบัติไม่ได้ก็ต้องขอลามาเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสดี เพราะทำให้ได้มาเจอเพื่อนๆ ที่ชอบดนตรีเหมือนกันอย่าง คทาวุธ สะท้านไตรภพ, ประเทือง อุดมกิจนุภาพ, อนุสรณ์ คำประเสริฐ ส่วนประยูร เมธีธรรมนาถ เรียนอยู่รามฯ มาเจอกันทีหลัง

ท่านเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

หัดเล่นกีตาร์ตั้งแต่ ม.ศ. 1 พอขึ้น ม.ศ. 2 มีงานประกวดร้องเพลงเนื่องในวันเด็ก เลยตั้งใจว่า นอกจากร้องเพลงฝรั่งตามข้อบังคับแล้ว ในส่วนของเพลงไทยอยากจะร้องเพลงของเราเอง จึงแต่งเพลงชื่อ “รักไม่จากจร” ปรากฏว่าได้รางวัล จากวันนั้นเราก็รู้สึกว่าอยากมีเพลงของตัวเองมากๆ แปลกนะ อาตมาแต่งเพลงได้โดยที่ไม่ได้เรียนเรื่องโน้ต ทุกวันนี้ก็ไม่รู้แต่งไปโดยธรรมชาติ อาจจะเป็นพรสวรรค์ก็ได้ ว่างเข้าก็หาที่แต่งเพลงตลอด
จนได้มาพบกับอาจารย์ไพบูลย์ ศุภวารี ปี 2516 ท่านเห็นว่าเด็กพวกนี้มีผลงานของตัวเอง น่าจะให้การสนับสนุน เลยชวนไปออกรายการวิทยุและทีวี เราจึงยิ่งมีกำลังใจแต่งเพลงเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ จนได้ทำเป็นอัลบั้ม ฉะนั้นต้องบอกว่า อาจารย์ไพบูลย์เป็นผู้ที่จุดประกายให้เกิดวงชาตรีอย่างแท้จริง

ชื่อวงชาตรีมีที่มาไหมคะ

สมัยก่อนวงดนตรีที่เป็นวงสตริง ดิอิมพอสซิเบิล รอยัลสไปรท์ ใช้ชื่อฝรั่งหมดเลย แต่เราอยากเริ่มด้วยเพลงไทยตายด้วยเพลงไทย ชื่อวงก็ควรจะไทยๆ จึงขอยืมชื่อชาตรี ซึ่งเป็นชื่อหนังสือของโยมพ่อที่ทำเกี่ยวกับพระเครื่อง กล้วยไม้ ของเก่า วัตถุโบราณ งานอดิเรก ฯลฯ มาใช้

พอได้ออกเทปกับบริษัทเมโทรแผ่นเสียง อาจารย์ไพบูลย์ก็พาไปออกทีวีช่อง 8 ช่อง 10 ตามต่างจังหวัด ทำให้ชาตรีเริ่มเป็นที่รู้จัก ด้วยเพลงแรกคือ “จากไปลอนดอน” ชื่อเดียวกับอัลบั้ม
สมัยก่อนกระแสสื่อสารมวลชนยังไม่เหมือนสมัยนี้ ที่พัวะเดียวดังเลย จึงค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ค่อยๆ ดัง ค่อยๆ ดับ (หัวเราะ) สมัยนี้ดังเร็วรีบดับ บางทียังไม่ทันรู้จักเลย ดับแล้ว

สังเกตได้ว่าท่านแต่งเพลงรักได้กินใจมาก

คิดไปแล้วก็ตลกนะ ที่เราแต่งเพลงรักมากมายทั้งที่ไม่มีประสบการณ์แก่กล้าเหมือนในเพลง เคยได้รับเชิญจากนักศึกษาธรรมศาสตร์ให้ไปอภิปรายเรื่องความรัก ก็ต้องขอโทษเขาไปว่า ผมไม่ได้มีประสบการณ์ความรักมากมายหลากหลายอย่างเรื่องที่แต่งไว้ในเพลงหรอก ถ้าผมมีประสบการณ์อย่างนั้น หัวใจผมคงแตกสลายเป็นผุยผงไปแล้วละ ความรักนะมี แต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแน่นอน

ทำไมนราธิปถึงถนัดเขียนแต่เพลงรักเรื่องนี้น่าคิดเหมือนกัน คาดว่าคงจะเป็นบุคลิกเก่า อุปนิสัยในชาติเก่า นราธิปต้องเคยเป็นนักรักในอดีต เขาเรียกเชื้อเก่า ชาตินี้ก็มีบ้างตามนิสัยมนุษย์ แต่ไม่เหมือนในเพลงหรอก

ขอความกรุณาเล่าบรรยากาศตอนที่วงชาตรีดังมากๆ สักนิดนะคะ

คิดไปก็ไม่น่าเชื่อว่าเราจะดังมาก มีคนชอบมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งไปเล่นคอนเสิร์ตที่ขอนแก่น คนแน่นขนาดกระจกในห้องขายตั๋วแตก เป็นไปได้ถึงขนาดนั้น
ยอดจำหน่ายเทปก็ได้เป็นแสนๆ ซึ่งมากสำหรับตอนนั้น จำได้ว่าวงของเราจะได้รับรางวัลจากทางอีเอ็มไอในฐานะที่เป็นศิลปินที่มียอดจำหน่ายสูงอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ว่าค่าตอบแทนจะเป็นเท่าไหร่ สมาชิกทุกคนได้เท่ากันหมด รายได้ทุกอย่างหารห้า ไม่มีการว่านราธิปเป็นนักร้องนำ เป็นหัวหน้าวงแล้วจะได้มากกว่า จุดนี้จึงยืนยันได้ว่าวงชาตรีอยู่กันเพราะใจรักจริงๆ ไม่ใช่ผลประโยชน์ ลึกไปกว่านั้นเราเป็นเพื่อนกันไม่ได้ทำแบบธุรกิจจ๋า

ย้อนกลับไปคิดก็รู้สึกได้ว่า จุดที่ค่อนข้างประทับใจมากในการเป็นนักร้องคือ ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเดินสายเพื่อโปรโมท คิดไอเดีย แจกแผ่นเสียง เห็นว่าสมัยนี้นักร้องร้องอย่างเดียว อย่างอื่นมีคนจัดการให้เรียบร้อยแม้แต่เรื่องแต่งตัวใช่ไหมโยม
ของเราแต่งกันเอง ชอบอะไรใส่อย่างนั้น ง่ายๆ ไม่ทราบจะเรียกฟุ้งเฟ้อไหม คือเป็นคนประเภทตัดสินใจเร็ว อยากซื้อซื้อเลย ไม่คิด ไม่ต่อราคา แต่ไม่ได้เน้นยี่ห้อ

ความรู้สึกตอนที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างไรคะ

ดีใจ แต่ไม่ได้ลุ่มหลง รู้ตัวทุกอย่างจึงขีดกรอบไว้ระหว่างเรากับแฟนเพลงว่าจะไม่ให้ความสัมพันธ์สนิทสนมจนเกินเลย ทุกอย่างอยู่ในความพอสมควร เรารู้ว่าวัยรุ่นเป็นวัยที่ติดเพื่อน ถ้าเพื่อนดี เขาก็จะมีชีวิตที่ดี จึงควรเป็นตัวอย่างที่ดีเป็นเพื่อน เป็นพี่ที่ดีให้เขา ไม่ควรจะไปฉวยโอกาสล่วงเกินใคร สิ่งใดที่ไม่ควรทำให้ผู้อื่นเสียประโยชน์หรือร้าวรานใจก็อย่าทำ นี่เป็นความคิดส่วนตัวที่ไม่ต้องการให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา จึงตีกรอบกันเอาไว้ก่อน ดูไปก็คล้ายนักบวชแล้วนะตอนนั้น

เราไม่ลุ่มหลง ไม่ตักตวง วงชาตรีจะเล่นคอนเสิร์ตหรือออกงานเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ เพื่อที่วันธรรมดาจะได้เรียนหนังสือ แม้กระทั่งจบแล้วก็ยังยึดแนวปฏิบัตินี้ไว้ เราไม่วิ่งรอก จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาเสพติด เวลาขึ้นเวทีจะเอาแต่หัวใจขึ้นไป ไม่ว่าคนดูจะมีร้อยหรือสิบคนก็ทำเหมือนกัน แต่เราบวชที่วัดถ้ำกระบอก รู้ว่าหลายคนไปตีความผิด คิดว่าเราคงติดยา ความจริงถ้ำกระบอกมียาเลิกทุกอย่างนั่นละ เบื่อการเวียนว่ายตายเกิดก็ไปเลิกได้ หลงตัวเองก็เลิกได้

สาเหตุที่ยุบวงชาตรีคืออะไรคะ

ชาตรีเลิกเพราะถึงที่สุดของมันแล้ว เราเองที่แต่งเพลงจนมีผลงานทั้งหมดสิบกว่าชุด ถามว่าเบื่อไหม เบื่อมาก ตอนหลังที่แต่งน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะหมดข้อมูล แต่มันจำเจ อีกอย่างสมาชิกในวงก็มีงานที่ต้องทำทุกคน ช่วงแรกเรียนหนังสือด้วยกัน จึงมีเวลาว่างพร้อมกันใกล้ชิดกัน แต่พอเรียนจบ บางคนมีธุรกิจส่วนตัว มีภารกิจทางบ้านหลายอย่าง ดนตรีที่เคยเป็นหัวใจก็กลายเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต จึงตัดสินใจเลิก เราต้องรู้ฐานะของตัวเอง เหมือนตอนที่ชิงลาออกจากคอมเมิร์ชเสียก่อนที่เขาจะไล่ออก จบเสียตั้งแต่ตอนที่ทุกอย่างยังสวยงามดีกว่า ชาตรีจะได้เป็นอมตะ

ต้นปี 2528 จึงประกาศอำลาอย่างเป็นทางการบนเวทีโลกดนตรี มีเสียงค้านจากแฟนเพลงหลายคนว่ายังไม่ถึงเวลา แต่เราตัดสินใจเด็ดขาดแล้วด้วยเจตนาดี อย่างที่บอกว่าไม่อยากเป็นผลไม้ที่สุกเกินงอมจนนำไปทำประโยชน์อะไรไม่ได้ รอแต่วันที่จะรวงหล่นจากต้น แต่ก็ไม่เลิกแบบปุบปับ มีการเตรียมตัวพอสมควรยังแต่งเพลง “จำจากจร” ไว้ในอัลบั้มอธิษฐานรัก ซึ่งเป็นอัลบั้มสุดท้ายด้วยเลย และถึงจะเลิกร้องเพลงแล้ว แต่ยังมีงานแต่งเพลงกับงานที่ห้องอัดบ้าง ยังไม่ได้บวชทันที

ท่านมีความคิดจะบวชตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

นานมาแล้วละ เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาชัดเจน คล้ายกับเป็นวิธีดำเนินชีวิตที่เหมือนจะเตรียมพร้อมมากกว่า อย่างสมัยมัธยม วันหนึ่งจู่ๆ ก็พูดกับเพื่อนว่าโตขึ้นเราจะไม่มีลูกหรอก โดยไม่เข้าใจว่าทำไมพูดไปอย่างนั้น
โยมแม่เปิดเทปธรรมะให้ฟังตั้งแต่เด็กจนโต เรียกว่ามีพื้นมาบ้างพอสมควร ช่วงใกล้บวช เพื่อนบ้านที่มีใจใฝ่ธรรมะชอบมาคุยด้วย คุยมากๆ เช้า เราก็เริ่มถามตัวเองว่า หรือเราจะอยู่ผิดที่ผิดทาง

แล้วทำไมจึงเลือกบวชที่วัดถ้ำกระบอกคะ

เชื่อไหม ปี 2520 อาตมาเคยไปเล่นดนตรีต่อต้านยาเสพติดที่ถ้ำกระบอกตอนนั้นไม่รู้สึกศรัทธาเลย คิดด้วยซ้ำไปว่าถ้าจะบวช ถ้ำกระบอกคงเป็นวัดสุดท้ายที่จะอยู่
จนปี 2530 ได้พบอาจารย์เจริญ ปานจันทร์ ที่วัดถ้ำกระบอก ท่านพูดเตือนสติให้คิดว่า

นราธิป…ชีวิตการทำงานของเธอมันจบลงแล้ว อุปมาเหมือนส้มที่หล่นลงไปในน้ำ เวลานี้จะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว จะทำต่อก็ได้ แต่การทู่ซี้ไม่ดีหรอก ชีวิตที่ผ่านมาของเธอเหมือนชิงช้าสวรรค์ ขึ้นแล้วก็ลง แล้วก็ขึ้นอยู่อย่างนี้ ฉันบอกเธอไม่ได้หรอกว่าต้องทำอย่างไร เธอต้องกลับไปทำตัวให้ชัดเจน คืนนั้นฝันเห็นพระรูปหนึ่งมาบอกว่า เธอไปบวชแทนคนที่เขาอยากบวชแต่ไม่ได้บวชสิ …ตื่นขึ้นมาเข้าใจเลยว่าคนคนนั้นคือเรานั่นเอง ที่อยากบวช แต่หาโอกาสไม่ได้สักที

ตัดสินใจแล้วก็จุดธูปบอกหลวงพ่อที่วัดถ้ำกระบอกว่าขอเวลาสักหนึ่งปีเพื่อเคลียร์ปัญหาชีวิตที่คั่งค้างอยู่ก่อน ผ่านไปสองเดือน ขณะที่จัดการปลดสายพานชีวิตต่างๆ คิดขึ้นได้ว่า ถ้ามัวนั่งเคลียร์ปัญหาอยู่อย่างนี้ นานเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด ถ้าคิดจะบวชก็วางมือเลยแล้วกัน

แล้วทางครอบครัวท่านมีความเห็นอย่างไรคะ

โยมพ่อบอกว่าดี แต่อยากให้ใช้ชีวิตทางโลกอีกสักหน่อย ท่านอยากเห็นชีวิตทางโลกที่รุ่งเรืองของลูกอีก คือไม่ได้ห้ามแต่ไม่สนับสนุนนัก
ส่วนโยมอดีตแม่บ้านของอาตมา (ไศลโสภิณ กาญจนวัฒน์) แม้ในตอนแรกจะบอกว่าขอประวิงเวลาไว้อีกสักหน่อยได้ไหม แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ เขาก็อนุโมทนามาส่งเราเข้าโบสถ์ เขาเข้าใจเราตั้งแต่เรื่องที่ไม่อยากมีลูกแล้ว ไม่เคยว่าอะไร แต่คนอื่นมักจะว่า รู้ไหมนราธิป คนที่ไม่มีลูกคือคนบาป อาตมาบอก ไม่หรอกครับ เพราะผมเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าบอกว่า การมีชีวิตเป็นทุกข์ แม้แต่ตอนที่มีความสุขก็คือทุกข์ เพราะมันไม่เที่ยง การทำตามพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องของการตัด ไม่ใช่การต่อ

ต้องบอกว่าโยมอดีตแม่บ้านเป็นกำลังสำคัญ เพราะเป็นคนที่เปิดทาง ไม่ขวางทางเรา ต้องขออนุโมทนาไว้อีกครั้ง เขาไม่เห็นแก่ตัว ยอมเสียหลักชัยของเขาให้เราได้บวช ส่วนเขาก็จะมีกรรมของเขาเลี้ยงตัวเองตลอดไป ถ้าเป็นคนดี ทำกุศลมาในอดีต กุศลจะช่วยเขาเอง เราไม่จำเป็นต้องห่วงแทนใคร เพราะทุกคนย่อมมีกรรมเป็นของตน ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น เราสองคนเป็นเพียงคู่คล้องกรรม เมื่อถึงทางแยกก็ต้องจากกันไป ไม่ใช่เรื่องว่าใครทิ้งใคร

รวมแล้วใช้ชีวิตครอบครัวอยู่สิบปีก็หมดเวลา แต่ไม่ใช่หมดรัก มันเหมือนเดินมาถึงทางแยกแล้วเราเลือกเดินทางนี้ก็จำเป็นต้องละทางเก่าเป็นธรรมดา แต่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า ตลอดชีวิตนี้ที่ได้ทำความดีมาจนถึงปัจจุบัน ขออุทิศให้ผู้มีคุณที่ช่วยเปิดทางให้เดิน สรุปว่าตัดสินใจแล้วก็บวชเงียบๆ ที่วัดถ้ำกระบอกในปี 2532 ขณะนั้นอายุ 36 ปี
แล้วก็บอคุณไศลโสภิณว่า นับจากนี้โยมมีชีวิตที่เป็นอิสระ เป็นสิทธิ์ของตนที่จะตัดสินใจ สิ่งใดควรไม่ควร ทำได้เลย ไม่ต้องห่วงเรา เพราะเราจะไม่ถอยกลับแล้ว โยมอยู่ทางโลกก็ใช้ชีวิตในทางที่ดีที่สุด ไม่ต้องถามหลวงพี่ว่าได้ไหม ควรไหม ทำไปเลย

ส่วนพวกลิขสิทธิ์เพลงต่างๆ หรือกิจการ เช่น ห้องซ้อมดนตรี ทุกๆ อย่างที่ทิ้งไว้ให้ข้างหลังนั้น สุดแล้วแต่ว่าเขาจะนำไปทำอะไร

ท่านตั้งใจบวชไม่สึกตั้งแต่แรกเลยหรือคะ

เราถวายสัจจะขอบวชไม่สึกตลอดชีวิตเพื่อเป็นการปิดประตูและเป็นการช่วยตัวเองอีกทาง จะได้ยึดสัจจะเอาไว้ไม่ให้โลเลเหมือนไม้หลักปักเลน เอาซีเมนต์เทเสียหน่อยจะได้มั่นคง เพราะบางครั้งจิตใจเราก็อ่อนแอหรือถูกมารผจญบ้าง ถ้าเอาสัจจะข้อนี้ขึ้นมาพิจารณาไตร่ตรองอยู่เสมอก็ช่วยได้

วัดถ้ำกระบอกเป็นสถานที่รักษาผู้ติดยาเสพติดท่านได้มีส่วนร่วมช่วยงานนี้บ้างไหมคะ

อาตมาเป็นฝ่ายลงทะเบียนเวลามีโยมที่ติดยามาขอรับการรักษาตัว ต้องบันทึกว่าเขาคือใคร มาจากไหน เป็นอะไรมา มาอยู่รักษาตัวแล้วต้องถวายสัจจะว่าจะไม่กลับไปเสพยาทุกชนิดอีก ซึ่งส่วนมากจะบอกว่าได้ แต่บางคนหายแล้วก็พ่ายแพ้แก่จิตใจของตนเอง กลับไปเสพยาอีกอย่างที่ทราบกันว่า ที่ถ้ำกระบอกจะมียาสมุนไพร เรียกว่ายาตัดที่จะไปล้างคราบภายในออกมา จากนั้นก็ไปอบตัว สลับอยู่อย่างนี้ประมาณหนึ่งเดือน แต่การกินยาได้ผลแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นเรื่องของจิตใจ ถ้าเขารักษาสัจจะก็จะไปถึงฝั่ง และถ้ารักษาสัจจะเท่าชีวิตได้ ก็กลายเป็นคนใหม่ได้เลย จะไม่มีทางตกเป็นทาสยาเสพติดหรือกลับไปตกกระทะทองแดงอีก

แต่บางคนเสพยามาหนักเกินกว่าร่างกายจะรับได้ เกิดอาการประสาทหลอนจะทำร้ายพ่อแม่ เห็นพระก็จะโดดเข้าชกเห็นแล้วสะท้อนใจว่า ถ้าโลกเต็มไปด้วยคนอย่างนี้ ก็จะมีแต่คนที่ทุพพลภาพทั้งกายใจ เหมือนต้นไม้ที่กลวง

แล้วเพราะเหตุใดท่านจึงย้ายมาปฏิบัติธรรมที่วัดลานนางฟ้าคะ

อยู่ที่วัดถ้ำกระบอกประมาณ 3 ปี ท่านอาจารย์เจริญบอกว่าหมดเวลาที่ท่านจะมาถามผมแล้ว
จากนี้ไปต้องเรียนเอง ถามเอง ตอบเอง
แล้วท่านก็ส่งมาอยู่ที่วัดลานนางฟ้า (วัดเนินรังวรปัญญาราม) จังหวัดลพบุรี ชื่อลานนางฟ้านี่มีเรื่องเล่า สมัยโบราณป่าแถวนี้เป็นป่าโปร่ง มีลานหิน มีแอ่งน้ำให้พวกสัตว์ต่างๆ มากิน รวมทั้งนกยูง ชาวบ้านให้สมญานกยูงว่าเป็นราชินีนกเพราะความสวยงามของมัน และตั้งชื่อลานนี้ว่าลานนางฟ้า แต่มีเรื่องลับๆ กว่านั้น ท่านอาจารย์เจริญเล่าให้ฟังก่อนที่อาตมาจะมาที่นี่ว่า ตรงลานนางฟ้านี้มีตำนาน เชื่อกันว่ามีอีกเมืองหนึ่งซ้อนอยู่ ถ้าใครมีตาทิพย์จึงจะเห็นคนเมืองลับแล วันที่ 24 มกราคม ของทุกปีเป็นวันสถาปนาวัดจะมีพิธีแจกอาหารหวานคาวเป็นการฉลองให้คนที่นี่และคนในลานนางฟ้าด้วย
แต่สมัยที่มาอยู่ใหม่ๆ วัดยังไม่เป็นอย่างที่โยมเห็นตอนนี้หรอก

เป็นอย่างไรคะ

มีแต่กุฏิไม้ ปลวกกินทั้งหลัง ไม่มีไฟฟ้า ทุกวันนี้ถ้าจะใช้ไฟก็ต้องปั่นหรือไม่ก็ใช้เทียน แต่อยู่ในป่าอย่างนี้ดีที่สุดคือ เวลากลางคืนควรจะให้ในอาคารมืดแล้วจุดไฟไว้ข้างนอก เพราะแมลงเยอะเหลือเกิน ถ้าเปิดไฟ แมลงทั้งหมดจะวิ่งเข้ามาหา อยู่ไปก็ค่อยเรียนรู้ว่าทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ข้างในว่างกว่าข้างนอก ไม่อย่างนั้นจะต้องทนรำคาญกับแมลงมากมาย ซึ่งการป้องกันแมลงนี้ทำให้เราชินกับการอยู่ในความมืดไปโดยปริยาย
ส่วนทางเข้าวัดก็อย่างที่โยมเห็นว่าไกลจากตัวเมืองกว่าสามสิบกิโลเมตร การบิณฑบาตจึงเป็นไปได้ยาก อาศัยว่ามีโยมมาถวายข้าวสารอาหารแห้งไว้ให้ อาตมาฉันเช้าเพียงมื้อเดียวก็ไม่เดือดร้อนอะไร ส่วนคนที่จะมาปฎิบัติธรรมหรือมาตกรถแถวลานนางฟ้าก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องกินข้าวลิง ที่นี่มีโรงทานไว้สำหรับจะไปหุงหากันเอง อย่างน้อยมีไข่ มีน้ำมัน เราอยู่กันอย่างไม่มีพิธีรีตอง ไม่เรื่องมาก

มาอยู่รูปเดียว กลัวบ้างไหมคะ

เรื่องกลัวนี่ ถึงจะไม่ใช่คนขวัญอ่อน แต่พอมาอยู่กับความเงียบที่เงียบสงัด ความมืดที่มืดสนิท บางครั้งก็มีอาการตกใจบ้าง แต่ไม่ใช่อุปสรรคอะไร ถ้าเราทำตัวเป็นนักบวชที่ดี คนดีคงไม่มีใครเกลียด ไม่เคยเจออะไรน่ากลัว แต่เคยเจออะไรแปลกๆ เหมือนกัน
บางทีเหมือนมีใครมาคุยด้วย อย่างคำพูดที่แว่วเข้ามาในหัว พบแล้วไม่คิดของดีก็ไม่ผุด ผู้ใดอยากรู้ ผู้นั้นต้องเพียรเอง เหมือนคลื่นความคิดของใครที่ส่งมาถึงเราโดยทางอ้อมว่า ถ้ามัวแต่ฟังผู้อื่นก็ได้แต่ฟัง
ต้องลงมือปฏิบัติเองจึงจะรู้
บางทีก็เป็นสัตว์ ตอนแรกประตูกุฏิยังทำไม่เรียบร้อย คืนหนึ่งรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในผ้าห่ม ตอนแรกข้างบน แล้วย้ายไปข้างล่าง จึงเปิดผ้าห่มเอาไฟฉายส่องดูเห็นว่าเป็นงูตัวย่อมๆ ก็หาไม้มาม้วนไปทิ้ง รุ่งเช้าเห็นงูตัวใหญ่เลื้อยมา คาดว่าจะเป็นแม่ของตัวเมื่อคืน ก็บอกไปดังๆ ว่า เราไม่ได้ทำอะไรลูกเธอนะ เอาไปปล่อยแล้ววันหลังเลี้ยงลูกดีๆ หน่อยสิ เลี้ยงอย่างไรปล่อยให้เข้ากุฏิพระ พระสงฆ์องค์เจ้าจะนอน คราวหลังไม่ต้องมานอนเป็นเพื่อนเราหรอกนะ นอนข้างนอกก็แล้วกัน งูส่วนงู พระส่วนพระ แต่อุปมาก็เหมือนเขามาเตือนว่าอยู่คนเดียวต้องรู้จักระวังตัว อย่าประมาท ควรจะปิดประตูให้เรียบร้อยมิดชิด
การฝึกใจให้ชินกับการอยู่คนเดียวกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เราไม่กลัวกับสิ่งเหล่านี้ อย่างงูที่โยมเห็นเลื้อยผ่านหน้าไปเมื่อสักครู่ ถ้าเราไม่ไปทำอะไรเขา เขาจะเป็นฝ่ายรีบหลบไปเอง หรือที่ไหนที่ไม่ควรเข้าไปเนื่องจากไม่เหมาะหรือเจ้าของเขาอาจไม่ต้อนรับ ก็อย่าเข้าไป เพราะไม่เสมอไปว่าทุกๆ แห่งจะมีแต่คนที่ต้อนรับพระ ที่เขาไม่ต้อนรับก็มี

ขอความกรุณาท่านเล่าถึงกิจวัตรประจำวันบ้างค่ะ

อาตมาตื่นหกโมงเช้าแล้วเปิดเทปธรรมะให้พระฟัง เพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตที่ดี ฉันเช้ามื้อเดียว แล้วก็พิจารณาสัจจะ วันนี้พิจารณาแล้วตอบอย่างนี้ อีกสิบวันคำตอบจะเปลี่ยนไปไหม สิบปีข้างหน้าล่ะ ซึ่งคำตอบเหล่านี้ไม่มีถูกผิด เป็นการใช้ตนฝึกตนที่ดี เวลาว่างก็ดูแลความเรียบร้อยต่างหๆ เย็นสวดมนต์เย็นด้วยกัน อยู่กันง่ายๆ เขาเรียกทำไป ไม่ใช่ทำอยู่ หมายถึงทำโดยไม่หวังผลตอบแทน อย่างการก่อสร้างในวัด อาจจะวางรูปแบบคร่าวๆ แต่ไม่กะเกณฑ์ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ เราแค่อยากมาสร้างความเจริญในทางธรรม ชี้ทางให้โยม ส่วนเรื่องของสถานที่หรือผู้คนเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น
ตอนนี้ลานนางฟ้ามีพระ 3 รูป ทุกรูปมีสัจจะในการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน เช่น ฉันวันละหนึ่งมื้อ ธุดงค์ปีละหนึ่งครั้ง

ท่านธุดงค์ไปที่ใดบ้างคะ

ตอนอยู่ถ้ำกระบอก ส่วนใหญ่อาตมาจะธุดงค์เดินวนๆ อยู่แถวนั้น อยู่ที่นี่ก็ไปไม่ไกล ประมาณ 50 กิโลเมตร ความจริงใกล้ไกลไม่สำคัญ เป็นการออกไปหารสสัมผัสของพระธรรมในรูปแบบอื่นบ้าง เช่น เคยฉันในกุฏิ ก็ออกไปฉันกลางดินกลางทราย ไปนอนในที่เปียกชื้น หรือเจอพายุ ถือว่าไปลดละ ฝึกขันติอดทนในภาคปฏิบัติ ระยะเวลาในการธุดงค์ขึ้นอยู่ว่าเราตั้งสัจจะไว้กี่วัน 30 วัน 15 วัน 7 วัน ทุกอย่างอยู่ในสัจจะหมด ไม่ทำลอยๆ
ระหว่างธุดงค์แน่นอนว่าต้องเจอสัตว์ต่างๆ บ้าง จะไปโทษเขาก็ไม่ได้ เราเข้าไปในที่ของเขา ต้องใช้วิธีสำรวม แผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งที่เห็นและไม่เห็น บางครั้งไปนอนทับที่ของงู ตะขาบ แต่ไม่เคยโดนกัด บางครั้งพวกเขาก็เหมือนเจ้ากรรมนายเวร ที่อาจจะขบกัดเราได้ถึงแม้เราจะไปด้วยใจเมตตา แต่ใครจะรู้ว่าเราไปทำอะไรเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนสัตว์ใหญ่ๆ ไม่เคยเจอ เพราะไม่ได้เข้าป่าลึก ต่อไปอาจจะธุดงค์ใกล้ๆ แถวนี้ แล้วพาเด็กๆ ไปด้วย ให้เขาได้รู้จักนิสัยของสัจจะ

การมีอดีตเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง ทำให้มีโยมแฟนเพลงมาที่วัดบ้างไหมคะ

แรกๆ มีบ้าง แต่พอมาอยู่ป่าอย่างนี้นานไปก็ไม่มีใครสนใจ คล้ายว่าอยากอยู่ป่าก็อยู่เสียให้เข็ด(หัวเราะ) มีแต่ไปลือว่าพระนราธิปตายแล้ว ความจริงก็ดี จะได้จบๆ ไปใช่ไหม เราก็อยากให้กิเลสของพระนราธิปจงตายไปเสียก่อนจะหมดลมหายใจ
บวชมาสิบกว่าปี ละกิเลสไปได้พอสมควร ก่อนนี้รู้ตัวว่าโกรธง่าย อ่อนไหวง่าย หงุดหงิดเก่ง เรียกว่าโทสะจริตเยอะ บวชแล้วก็ดีขึ้นโดยลำดับ มีเหตุผลให้ตัวเอง มีปัญญาเข้าถึงสัจธรรมมากขึ้นถ้ารู้เท่าทัน โทสะจะค่อยๆ ดับไปเอง หรือถ้าเราเลือกจะมีความไม่โกรธ ความโกรธก็จะหายไป ให้โอกาสตัวเองว่า กิเลสอันใดที่ยังละไม่ได้ ก็ขอให้พยายามต่อไป ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ตึง ไม่หย่อน ทำให้เหมาะกับกำลังของตน พยายามอยู่ในความพอดี ซึ่งพอดีของเราอาจจะหย่อนไป หรือตึงไปสกหรับคนอื่นก็ได้
สำหรับบุคคลทั่วไป ถ้าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะในทุกๆ เรื่อง ก็ถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้วโดยไม่ต้องเข้าสำนักไหน เพราะถ้าเข้าวัดแล้วไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลยปล่อยเวลาให้ว่างเปล่า เหมือนกลักไม้ขีดที่ไม่มีไม้ขีดจุดไฟได้สักก้าน ก็ไม่มีประโยชน์อันใด การเป็นพระที่ดีไม่ใช่ว่าใครก็ติไม่ได้ หรือจะต้องทำตามๆ กันไป ตลอดเวลาเพราะเรื่องของสัจธรรมไม่มีขอบเขต
ทุกวันนี้ถามตัวเองว่า การที่มาบวชมากินมานอนที่ลานนางฟ้า ได้ทำอะไรให้แผ่นดินบ้าง ตอบว่าทำพอสมควร เช่นมีโอกาสได้ช่วยชาวบ้านให้ละเลิกในอบายมุขได้บ้าง จนถูกบางคนต่อว่า ท่านมาเอาลูกค้าผมไปหมดเลย ร้านผมขายเหล้าบุหรี่ไม่ดีเลย ใครๆ ก็มาเลิกที่ท่านหมด
แต่ที่ลานนางฟ้าไม่มีคอร์สเแบบถ้ำกระบอก แค่มาถวายสัจจะแล้วกลับได้เลย คือถ้ารักษาสัจจะก็ทำได้ทั้งนั้น จะอธิบายให้เขาฟังว่า การที่เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นบุญเหลือเกินแล้ว ควรจะแทนคุณผู้ให้กำเนิดด้วยการใช้สังขารไปทำความดี ไม่ใช่เอาไปปู้ยี่ปู้ยำเสพยา แต่ก็ช่วยได้เฉพาะรายที่อาการไม่มากนัก ที่อาการหนักก็ต้องทำใจว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน บางคนกำลังเผชิญอยู่กับอกุศลกรรมอันยากที่ผุ้อื่นจะช่วยเหลือเยียวยาได้ ฉะนั้นที่ช่วยได้ก็มี ช่วยไม่ได้ก็มี หมอทุกคนควรคิดถึงสัจจะข้อนี้

ตลอดระยะเวลาที่บวช ท่านเคยหวั่นไหวต่ออุปสรรคบ้างไหมคะ

แรกๆ มีบ้าง ยังได้แต่งนิทานไว้เรื่องหนึ่ง นิทานเรื่องนั้น ต้นไม้ถามเราว่าพระนราธิป ท่านมานั่งทำหน้าหงอยเหงาเศร้าสร้อยทำไม มีเรื่องอะไรต้องเศร้ากังวลใจกับลาภยศชื่อเสียงเกียรติยศ หรืออะไร ท่านดูผมสิ
เวลานี้หน้าแล้ว ผมสลัดใบทิ้งหมดเพื่อรักษาต้นไว้ก่อน เมื่อฤดูฝนมาใหม่ค่อยผลิใบแผ่กิ่งก้านสาขายืนต้นต่อไป ถ้าท่านหนักอกหนักใจเรื่องใดอยู่ ก็จงปลดทิ้งเสีย ชื่อเสียงเกียรติยศเป็นของเกิดดับ มีแล้วก็ดับ มีแล้วก็หมด ท่านปลดใบอย่างผมแล้วยืนต้นต่อไปสิ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ท่านต้องเจอ เรียกว่าหาเพื่อนไม่ได้ก็คุยกับต้นไม้ ดูดีๆ จะเห็นว่ามีกุศโลบายในการมีชีวิตแทรกอยู่ด้วย
เหมือนกับที่มีคนถามว่า เวลานี้ศาสนาดูเหมือนจะตกต่ำในสายตาของประชาชน ท่านห่วงไหม เราบอกไม่รู้สึกเลย กลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมียุคเจริญก็ต้องมียุคเสื่อม ถ้ายุคนี้จะเป็นยุคเสื่อมของศาสนา เราก็ต้องยอมรับความจริง เพียงแต่เราอย่าทำตัวให้เสื่อมไปกับยุค เหมือนกับที่เราไปบังคับให้คนทั้งโลกเป็นคนดีไม่ได้ แต่เราทำตัวเองให้ดีได้ มองตน ค้นตน แก้ตน ถ้าทำอย่างนี้จะไม่มีเวลาไปมองคนอื่น สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ อะไรถึงเวลาต้องเสื่อมก็เสื่อม ใบไม้ต้องร่วงก็ร่วง คนถึงเวลาหมดลมก็หมด ถ้าคิดได้อย่างนี้ก็จะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข และเป็นสุขที่เป็นสัจจะ ไม่ได้สุขอยู่บนรูป รส กลิ่น เสียง
เมื่อยังมีเวลา ถ้าจะทำดี จงทำเลยไม่ต้องคิด ไม่ต้องเอกซเรย์ว่าคนนั้นดีจริงหรือไม่ สมควรช่วยไหม อย่าทำดีเฉพาะกับคนที่รักหรือคนที่เห็นว่าดี แต่ถ้าเมื่อไหร่จะทำชั่วจงคิดมากๆ คิดจนเลิกทำไปได้ยิ่งดี

ท่านเคยพูดว่าจะขอเดินให้สุดทางธรรม หมายความว่าอย่างไรคะ

เราจะเดินตามเยี่ยงอย่างพระพุทธองค์ โดยขอให้ตัวโน้ตที่ชื่อนราธิปนี้จงดังครั้งเดียวครั้งสุดท้าย แล้วอย่ากลับมาเปล่งเสียงอีกเลย ทำได้ก็ดี ทำไม่ได้ก็ตามอัตภาพ คนที่ปฏิบัติธรรมจนสามารถหลุดพ้นเป็นอริยบุคคลเบื้องสูง นั่นถือว่าสุดทางธรรม ไม่ต้องหวนกลับมาเกิดอีก คนเราเมื่ออยู่จนอยู่ให้ถึงที่สุด มีหน้าที่อะไรก็ทำให้ถึงที่สุด อาจไม่ถูกใจ แต่ก็ต้องทำ เมื่อหมดลมหายใจก็เป็นไปตามอัตภาพ
การเดินให้สุดทางธรรมคือขอเดินตามพระพุทธเจ้าให้ถึงที่สุด ทำสุดแค่ไหนก็ไปแค่นั้น ทำสุดถึงนรกไปนรก สุดอรหันต์ไปอรหันต์ ตั้งเจตนาไว้ก่อน ไปได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง ทุกวันนี้กำลังทำ กำลังเดินอยู่ในคำพูดนั้น โดยมีสัจจะเป็นแกนกลางในชีวิต
ส่วนนราธิปในทางโลกนั้นตายแล้ว เคยมีคนถามว่า ท่านไม่กลับไปร้องเพลงอีกหรือ โถ…โยม ให้อาตมานอนตายอย่างสงบเถิด อย่าขุดศพอาตมาขึ้นมาเลย ไม่รู้จะย้อนกลับไปเพื่ออะไร มีอะไรที่ยังหลงลืมอยู่ข้างนอกหรือ ไม่มีอีกแล้ว ขอให้ลมหายใจที่เหลือเป็นประโยชน์กับมนุษยชาติดีกว่า

ชีวิตเก่า ชาตรี

เนื้อเพลง ชีวิตเก่า

วงชาตรี

โวะ โอ โอ โวะ โอ โอ รักแล้วรอหน่อย
หากพี่ต้องตายไปเพราะหมากัดจะไปฟ้องนางพยาบาล
ขี้ตู่กลางนาน้องเคยสาบาน
จะแต่งงานตอนข้างขึ้นเดือนหงาย

ต้องจากเธอไกลเพื่อไปลอนดอน
อย่าทำแสนงอนเมื่อตอนพี่ไป
เธอต้องทำใจไว้ให้หนักหน่วง
อย่ามาคิดลวงหยุดดวงพี่เลย

ดวงใจฉันได้เธอมาจะถนอมกล่อมเธอ
ยามมองช่างซึ้งเลิศเลอ ยามเธอโปรยยิ้มให้มา
แก้มเธอแดงหนักหนา
เจ็ดนาฬิการีบมาเล่าเรียน ใจยังหมุนเวียนถึงเรียนสับสน
ชอบคิดกังวลไม่พ้นเรื่องเธอ
นี่ไงเพื่อนเกลอรูปเธอแฟนฉัน

ฝนตกแดดออกนกกระจอกเข้ารัง
แม่หม้ายไม่ยอมใส่เสื้อแถมยังถ่อเรือไปดูหนัง
ฝนตกคนก็แช่งฝนแล้งคนก็ด่า มนุษย์นี่หนอด่าทอเทวดา

สุดท้ายขออวยพรก่อนอำลา
จงมีสุขทั้งกายและวิญญาณ์ ขอได้สมดั่งใจปรารถนา
วันหน้ายังมีอดใจรอคงได้เจอ
อดใจรอคงได้เจอ อดใจรอคงได้เจอ

(ขอบคุณ ..คุณฟ้าสีเทา.. สำหรับเนื้อเพลงครับ)

ภาพโฆษณาผลงานชุดสุดท้าย วงชาตรี

ภาพโฆษณาผลงานชุดสุดท้าย!
ก่อนที่วงชาตรี…จะเหลือไว้แต่เพียงตำนานและความทรงจำ

news01

ชาตรีสลายวง “อธิษฐานรัก” ชุดสุดท้าย

news02

ผลงานชุดสุดท้ายก่อนการสลาย วง..ชาตรี

กับบทเพลงที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความเป็นอมตะ

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจากไป แต่ผลงานของเขา จะยังคงอยู่คู่กับคุณตราบนิรันดร์

อนุสรณ์เพลงฮิตจาก ชาตรี

รวม 14 เพลงเอกตั้งแต่ชุดแรกถึงชุดสุดท้าย

news03

ภาพวันสุดท้าย ลานโลกดนตรี

ภาพวันสุดท้าย ลานโลกดนตรี 5 พฤษภาคม 2528

ลา ลาที มิได้ ลาจาก ชาตรี

เพลงสุดท้ายที่วงชาตรีร้องในการแสดงสดก่อนที่จะสลายวงนั้น คือเพลง “จำจากจร”
ส่วนเนื้อร้องท่อนสุดท้ายที่แต่งขึ้นใหม่คือ
ลา ชาตรี…มิได้ ลาจาก…จร จำพราก…แสนไกล…ลา…ลาไป…หัวใจ ยังอยู่…
และจะคงอยู่…คู่เธอ…(ขึ้นใหม่) ลา…ชาตรี…ลา…ชาตรี…ลา…ลา…ลา”

วงชาตรี

วงชาตรี

 

พี่ป้อม วงชาตรี เขียนถึงวันครบรอบวันอำลาชาตรี

พบกันอีกครั้งนะครับบนหน้า www.wongchatree.com ช่วงเดือนเมษายนนี้ อากาศร้อนมากทีเดียวครับ คงจะทำให้หลายๆ คนต้องผ่อนคลายความร้อนด้วยการไปเที่ยวกัน พี่เองก็มีโอกาสไปเที่ยวหลบร้อนมาเหมือนกันครับ เดือนหน้าวันที่ 5 พ.ค. ก็จะถึงวันครบรอบวันชาตรีอำลา ทุกคนคงจำกันได้ ในปี 2528 ที่ลานโลกดนตรี พอพูดถึงเรื่องนี้ ก็อยากขอบรรยายอารมณ์ และความรู้สึก พร้อมบรรยากาศในวันนั้นย้อนหลังกันหน่อย
เช้าวันที่ 5 พ.ค. 2528 เป็นวันที่ตื่นเต้นมากเป็นพิเศษกว่าวันอื่นๆ เพราะรู้ตัวว่า วันนี้เป็นวันที่ตัวเองต้องไปทำหน้าที่เป็นศิลปินกับวงชาตรีเป็นครั้งสุดท้าย อะไรๆ ก็ดูหดหู่ไปหมด ดูไม่สดชื่นเลย เมื่อเตรียมตัวเสร็จ เดินทางไปถึงที่ลานโลกดนตรีประมาณ 9 โมงเช้า เพื่อเตรียมตัวซ้อม เมื่อพบกับสมาชิกวงชาตรีคนอื่นๆ วันนี้ทุกคนดูเศร้า เหงาหงอยกันไปหมด การเตรียมตัวก็ทำกันอย่างเป็นหน้าที่เท่านั้น การพูดคุยกันก็มีน้อย เพราะว่าบรรยากาศที่จะเล่นในวันนั้น คงเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเราทุกคนแล้ว

การประสานงานพูดคุยก็เพียงพูดกันถึงเรื่องการพูดอำลาหน้าเวทีว่า ใครจะพูดช่วงไหนเท่านั้น ส่วนเรื่องเพลงไม่ได้คุยอะไรกันเลย เท่าที่จำได้นะครับ เมื่อเริ่มการแสดง ทุกคนทำหน้าที่บนเวทีได้ดีเยี่ยม ทุกคนไม่ได้แสดงออก หรือ บ่งบอกถึงอารมณ์เศร้าหมองแต่อย่างใด คงทำหน้าที่ให้ความสุข สนุกสนาน กับน้องๆ แฟนเพลงเป็นปกติ เมื่อช่วงสุดท้ายของการแสดงมาถึง เพลงจำจากจร พี่สังเกตุเห็นแฟนเพลงหลายคนมีสีหน้าเศร้าหมอง และร้องไห้ บรรยากาศตอนนั้นน่าหดหู่มาก เมื่อจบการแสดง หลายๆ คนมาขอถ่ายรูป และลายเซ็น มีคำถามยิงมาตลอดเวลาคือ ” พี่เลิกทำไม “ ทุกคนไม่คาดคิด บางคนถึงกับช็อค ! ทำใจไม่ได้ พวกพี่ๆ ชาตรีทุกๆ คนเองก็ไม่ได้ตั้งตัวกันเลยว่า ” เวลานี้จะมาถึงเราเหมือนกัน “ มันเป็นครั้งที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวเตรียมใจไว้เลย เมื่อเราตกลงกันว่าจะเลิก ก็คือเลิก อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ช้าก็เร็วครับ

ในความเห็นส่วนตัวพี่ป้อม เคยคุยกับเพื่อนๆ วงชาตรีว่า ถ้าเราจะเลิกวง เราน่าจะตระเวนอำลาแฟนเพลงทั่วประเทศ โดยการไปแสดงคอนเสิร์ทอำลาตามจังหวัดต่างๆ เพราะในอดีต ชาตรีเคยแสดงต่างจังหวัดเกือบทุกจังหวัดอยู่แล้ว แต่พอสรุปว่า เราจะอำลาแฟนเพลงที่ลานโลกดนตรีเท่านั้น พี่ป้อมก็ช็อค !!!!! ไปเหมือนกัน

นี่ก็คุยกันมายาวทีเดียว เอาเป็นว่าวันที่ 5 พ.ค. 2547 นี้ ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 19 ปี ” ชาตรีอำลาแฟนเพลง “ พี่ขอให้พวกเราชาวแฟนคลับ และแฟนเพลงทุกๆ คน ร่วมใจกันในการฟังเพลงชาตรีในวันนั้น เพื่อระลึกถึงความหลังให้กลับมาอยู่ในใจของพวกเราทุกคนตลอดไป พี่ๆ ชาตรีทุกคนต้องขอขอบคุณน้องๆ มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ ที่ยังรัก และระลึกถึง ” วงชาตรี ” ไม่เสื่อมคลาย ขอให้น้องๆ เป็นพลังให้กับวงชาตรี พวกเราทั้งหมด คือ ” ครอบครัวชาตรี ” และ ” พลังชาตรี “ จะอยู่คู่กับพวกเราตลอดไปครับ

พี่ป้อม วงชาตร (pom@wongchatree.com) 3 พฤษภาคม2547

ชาตรีแฟนคลับ

ชมภาพและจดหมายเก่าๆ   ยังจำกันได้มั้ย? บัตรนี้! หลายคนมีก่อนบัตรประชาชนซะอีก

วงชาตรีแฟนคลับ card02 doc01 doc02 doc03 doc04 letter01 letter02 letter03

ข้อมูลจากเวบ FANCHATREE.COM โดยคุณ  Pluethipol Prachumphol

นิตยสาร ชาตรีแฟนคลับ

ใครจำได้บ้างว่า ซองเอกสารสีน้ำตาลซองนี้ พวกพี่ๆ วงชาตรีเขาเอาไว้ใส่อะไรให้พวกเรา?
ถ้าลืมไปแล้ว…ลองคลิกที่ภาพเพื่อหวนระลึกถึงภาพหวานเมื่อครั้งวันวานกันเถอะครับ!

แฟนคลับ วงชาตรี

นิต’สาร ชาตรีแฟนคลับ
ครบเลยครับ ตั้งแต่เล่มแรกถึงเล่มสุดท้าย! เอ้า…ลองเข้าไปดูไปชมกันเลยนะครับ

นิตยสาร ชาตรีแฟนคลับ ฉบับปฐมฤกษ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 มิถุนายน 2526

mag01

นิตยสาร ชาตรีแฟนคลับ  ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม 2526

mag02

นิตยสาร ชาตรีแฟนคลับ  ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 สิงหาคม 2526

mag03

นิตยสาร ชาตรีแฟนคลับ  ปีที่ 1 ฉบับที่ 4 กันยายน 2526

สุขสันต์วันเกิด

mag04

นิตยสาร ชาตรีแฟนคลับ  ปีที่ 1 ฉบับที่ 5 ตุลาคม 2526

mag05

นิตยสาร ชาตรีแฟนคลับ  ปีที่ 1 ฉบับที่ 6

mag06

นิตยสาร ชาตรีแฟนคลับ  ปีที่ 1 ฉบับที่ 7 ธันวาคม 2526

mag07

นิตยสาร ชาตรีแฟนคลับ  ปีที่ 1 ฉบับที่ 8

ทศวรรษ 10 ขวบชาตรี

mag08

สิ่งล่ะอันพันล่ะน้อย จาก วงชาตรี

ยังเก็บกันอยู่หรือเปล่าครับ?
สมาชิกชาตรีแฟนคลับครับ ยังเก็บกันอยู่หรือหายไปแล้ว…สร้อยคอที่ระลึกพร้อมโลโก้ชาตรี ที่วันนี้หายากยิ่งกว่าทอง!

necklace01

necklace02

พวงกุญแจ ชาตรี

key

ปฏิทินอัลบัม “แอบรัก” ที่แจกในปีพ.ศ. 2527

newyear2527

card2527

coversmall

font01

back01

แผ่นเสียง วงชาตรี

ข้อมูลจากเวบ FANCHATREE.COM โดยคุณ  Pluethipol Prachumphol

ซองแผ่นเสียงชาตรีในยุคสมัยโฟล์คซอง

[gallery_bank type=”images” format=”masonry” title=”true” desc=”false” responsive=”true” display=”all” sort_by=”random” animation_effect=”” album_title=”true” album_id=”1″]

ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ เกิดจากความรักและความระลึกถึงบทเพลงชาตรีของแฟนเพลงชาตรีผู้หนึ่ง ซึ่งได้ติดตามผลงานเพลงของพี่ๆ วงชาตรีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวง พร้อมกับได้เข้าเป็นสมาชิกแฟนคลับชาตรีตั้งแต่รุ่นแรก  รวบรวมโดยพี่ พฤฒิพล ประชุมผล

 

ประวัติวงชาตรี

ชั้นแรกของพิพิธภัณฑ์ “ชาตรี” จะเป็นการนำเสนอ
ประวัติวง “ชาตรี”
(เริ่มจากยุคโฟล์คซอง)

วงชาตรี
วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ แผนกช่างภาพ เป็นจุดเริ่มต้นของวงชาตรี เมื่อปีพ.ศ. 2518
– นราธิป กาญจนวัฒน์ หัวหน้าวง

นราธิป กาญจนวัฒน์

– ประเทือง อุดมกิจนุภาพ มือเบส
– คฑาวุธ สท้านไตรภพ มือคอร์ด และร้องนำ

พี่ป้อม วงชาตรี

ทั้ง 3 คนเรียนอยู่ห้องเดียวกัน ซึ่งขณะนั้นเรียนอยู่ปีที่ 2 นราธิป กาญจนวัฒน์ ซึ่งเป็นคนรักดนตรีมาแต่เดิม ได้แต่งเพลงเอาไว้หลายเพลงทีเดียว ได้ชวนเพื่อนอีก 2 คนคือ ประเทือง อุดมกิจนุภาพ และคฑาวุธ สท้านไตรภพ มาร่วมกันทำผลงานที่มีอยู่ให้เป็นชิ้นเป็นอัน

วงชาตรี2

แต่ก่อนที่จะมาเป็นคำว่า ชาตรี นั้น ทั้ง 3 คนได้วิเคราะห์วงการเพลงในระยะนั้นว่า ทำไมวัยรุ่นไทยจึงชอบเพลงฝรั่งกันนัก เมื่อพิจารณาดูก็พบว่า เพลงฝรั่งที่วัยรุ่นชอบกันนักชอบกันหนานั้น มีข้อน่าสังเกตคือ

  1. มีจังหวะสนุกสนาน
  2. ทำนองน่ารัก
  3. ฟังง่าย ถึงแม้จะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษก็ตาม

วัยรุ่น เป็นวัยที่กำลังอยู่ในความใฝ่ฝัน ทะเยอทะยาน เป็นวัยที่อยู่ในวัยรัก บ้างก็เพิ่งจะริรัก บ้างก็เพิ่งจะผิดหวังกับความรัก ฉะนั้นอะไรก็ตามที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นได้มีความสุขและพอใจ พวกเขาเหล่านั้นก็จะรับเอาไว้อย่างง่ายดายทีเดียว

จากเหตุผลดังกล่าวมาแล้ว ทำให้ทั้ง 3 คนได้ข้อคิดในการทำเพลงให้วัยรุ่นชอบ แต่การที่จะให้วัยรุ่นชอบผลงานของพวกเขาเท่านั้นยังไม่พอ เขาทั้ง 3 คนต้องการให้วัยรุ่นไทยรักและชอบเพลงไทยมากกว่าที่เป็นอยู่ นั่นหมายความว่า เขาทั้ง 3 คนจะต้องสร้างค่านิยมแห่งความเป็นไทยให้วัยรุ่นได้เห็นและชอบให้ได้

ดังนั้น เขาทั้ง 3 คนจึงได้ตกลงใจว่า จะตั้งชื่อวงเป็นชื่อแบบไทยๆ และในขณะเดียวกันนั่นเอง คุณพ่อของคุณนราธิป (พี่แดง) คือคุณประชุม กาญจนวัฒน์ กำลังเป็นผู้จัดทำหนังสือพระเครื่องที่มีหัวหนังสือชื่อ ชาตรี อยู่พอดี ซึ่งภายในสัญลักษณ์ของชาตรีนี้จะมียันต์ปรากฏเล็กๆ อยู่ในแต่ละตัวอักษรนั่นคือ นะ-มะ-พะ-ทะ ซึ่งแปลว่า ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ และจุดนี้เองที่ทุกคนลงมติว่า เราจะใช้ชื่อวงว่าวง… “ชาตรี”

หนังสือ วงชาตรี

วงชาตรี3

เพลงชาตรี
นกน้อยในกรง นี่เจ้าคงหาทางไป
ไม่รู้หรือไร ข้าหวง
เจ้านั้น คือดวงยอดขวัญ
ต้องบากบั่นไป จึงได้ตัวเจ้ามา
คิดถึงทำไม อย่าอาลัยถึงมันเลย
ข้าเคย เหมือนเจ้า มาแล้ว
ไม่แคล้ว พลัดบ้านจากมา
อุตส่าห์ทำใจ ไม่คิดถึงมันอีกเลย
ร่อนเร่ไป ค่ำคืนไหน ข้าเป็นนอน
สวดอ้อนวอน ให้ชีวิตนั้นยืนยาว
อยู่ อย่างชายพเนจร
ดิน น้ำ ลม ไฟ
เปรียบดังใจของข้าเอง
ไม่เคย คิดเกรง สิ่งใด
สุขใจ ทั้งยามหลับฝัน
ต้องฝ่าฟันไป จะใกล้หรือไกลไม่หวั่นเลย

เมื่อเริ่มแรกนั้น วงชาตรีใช้กีตาร์โปร่งทั้ง 3 ตัว เมื่อถึงวันเลี้ยงน้ำชาต้อนรับน้องใหม่ของแผนกช่างภาพนั้น วงชาตรีได้มีโอกาสโชว์เป็นครั้งแรก ที่นั่นเป็นจุดแรกเกิดของเรา และหลังจากนั้น ก็ได้แสดงให้นักศึกษาเทคนิคได้ชมที่หอประชุมใหญ่

วงชาตรี4

ต่อมาวงชาตรีเห็นว่า การเล่นกีตาร์เพียง 3 ชิ้นยังไม่แน่นพอ จึงได้ชวนเพื่อนคนหนึ่งชื่อ ทวีชัย มาร่วมวงด้วย แต่ทวีชัยอยู่กับวงชาตรีได้ไม่นาน ก็ต้องจากวงชาตรีไป เพราะมีภารกิจต้องไปช่วยคุณพ่อดำเนินกิจการต่อที่ปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ดังนั้น วงชาตรีจึงเหลือสมาชิกเพียง 3 คนตามเดิม

อยู่ต่อมาอีกไม่นานนัก วงชาตรีก็เกิดมีความคิดอยากจะได้มือกลองขึ้นมา ก็เลยชวน อนุสรณ์ คำเกษม ซึ่งเป็นเพื่อนเรียนอยู่ห้องเดียวกันมาร่วมวงชาตรีอีกคนหนึ่ง ตอนนั้นอนุสรณ์เพิ่งหัดเล่นกลองใหม่ๆ ตอนนั้นใช้เบาะรองนั่ง เอามาทำเป็นกลองตีเล่นไปก่อน และในที่สุด ก็ได้รวบรวมเงินจำนวนหนึ่งไปหาซื้อกลองเก่ามาหนึ่งชุด เพื่อนๆ ที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันอุตส่าห์ไปช่วยกันถือกลองคนละไม้คนละมือจากที่บ้านของอ นุสรณ์ ซึ่งอยู่ ก.ม. 8 มีนบุรี ขึ้นรถเมล์ไปเทคนิค ทุกๆ เย็นที่แผนกช่างภาพ วงชาตรีจะซ้อมดนตรีที่นั่น บางครั้งก็แอบซ้อมตอนยังไม่เลิกเรียน จนโดนท่านอาจารย์ว่าเอาหลายหน

อนุสรณ์ คำเกษม

วงชาตรี photo06

รุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งเคยเรียนอยู่ที่แผนกช่างภาพ แต่ตอนนั้นเรียนจบแล้ว ชื่อ วิทยา ชัยชาญทิพยุทธ มักจะหางานมาให้วงชาตรีเสมอ ตอนนั้น วงชาตรียังไม่มีเครื่องเสียงเป็นของตัวเอง พี่วิทยาจึงให้วงชาตรียืมเงินจำนวนหนึ่งไปซื้อเครื่องเสียง เอาแบบพอไปได้ ทำในเมืองไทย และนั่นแหละ วงชาตรีจึงได้มีเครื่องเสียงเป็นของตัวเองเสียที

ระยะนั้นได้ยินข่าวว่า มีการประกวดโฟล์คซอง ซึ่งทางชมรมโฟล์คซองเป็นผู้จัดขึ้น วงชาตรีก็ได้เข้าร่วมประกวดครั้งนี้ด้วย ในกติกาการประกวดบอกว่า ต้องใช้เครื่องที่สามารถถือไปได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น มือกลองจึงต้องตัดกลองบางใบออก เมื่อการประกวดผ่านไปจนถึงรอบที่ 2 วงชาตรีก็สละสิทธิ์จากการประกวดครั้งนั้น พอดีคุณครูไพบูลย์ ศุภวารี ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินครั้งนั้น เห็นว่าวงชาตรีมีลักษณะแปลก และเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตัวดี จึงได้ชวนวงชาตรีไปอัดเสียงในรายการ 120 นาทีมัลติเพลก ซึ่งเป็นรายการวิทยุที่คุณครูไพบูลย์ จัดอยู่เป็นประจำวงชาตรีได้อัดผลงานให้รายการของคุณครูไพบูลย์ มากมายหลายเพลงทีเดียว จนทำให้แฟนเพลงในรายการนี้รู้จักวงชาตรีมากขึ้น คุณครูไพบูลย์เห็นว่า แฟนรายการเรียกร้องอยากให้ทำเทปของวงชาตรี ดังนั้น ท่านจึงได้ทำเทปของวงชาตรีสำหรับแฟนรายการขึ้น

photo010

หลังจากนั้นไม่นานนัก ก็มีคนไปเที่ยวถามหาเทปของวงชาตรีกัน บริษัทเมโทรแผ่นเสียงได้ติดต่อผ่านคุณไพบูลย์ ศุภวารี มายังวงชาตรี ให้อัดแผ่นเสียงกับบริษัท และแล้วแผ่นเสียงชุดแรกของวงชาตรีก็ได้เกิดขึ้น นั่นคือชุด จากไปลอนดอน ( ในชุดนี้ใช้กีตาร์โปร่งทั้งหมด ) ระยะนั้น พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์เพลงยังไม่ออก จึงเน้นหนักในการขายแผ่นเสียงเท่านั้น ส่วนเทปที่มีอยู่ในท้องตลาดระยะนั้น ก็มีแต่เทปผีปลอมให้เกลื่อนไปหมด

วงชาตรี

จากคำพูดของเราชาตรี บนแผ่นปกหลังแผ่นเสียงในชุด จากไปลอนดอน เขียนเอาไว้ว่า

ชาตรี  ออกจะเป็นความใหม่สำหรับวงการดนตรีในปัจจุบัน ก่อนอื่นจะไม่ขอกล่าวถึงความหมายของคำว่าชาตรี  แต่จะขอกล่าวถึงจุดประสงค์ของผู้ร่วมอยู่ในวงชาตรี  คือแสดงออกซึ่งความเป็นไทยในเนื้อหาของเพลงที่มีเอกลักษณ์ประจำตัวคือ เพลงทุกๆ เพลงที่วงชาตรีได้นำมาเล่นและขับร้องนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่พวกเราชาวชาตรี ได้แต่งขึ้นเอง เล่นเอง ร้องเองโดยทั้งสิ้น มีความตั้งใจในอันที่จะเปลี่ยนทัศนคติของผู้ฟังเพลงให้กว้างขึ้น โดยได้คำนึงถึงอิทธิพลของเพลงสากลที่มีต่อเยาวชนไทยในปัจจุบัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การฟังเพลงสากลของเยาวชนไทย มักจะเน้นหนักไปในเรื่องทำนอง และจังหวะที่ดำเนินไปตามเพลงนั้นเสียมากกว่าการฟังเนื้อหาของเพลง หากจะมีก็คงได้แก่บุคคลที่พอจะมีความรู้ทางภาษาอังกฤษเท่านั้น ฉะนั้น ชาตรี  จึงอยากเสนอผลงานชุดนี้ ซึ่งเหมาะแก่บุคคลทุกระดับ และยังอาจหันเหความนิยมของเยาวชนไทยบางกลุ่มดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ให้กลับมาสนใจในเพลงมากขึ้น ในวันข้างหน้า คำว่า ชาตรี คงเป็นที่รู้จักกันในวงการเพลงของเมืองไทย และด้วยเหตุนี้เอง พวกเราชาว ชาตรี  จึงใคร่ขอเสนอผลงานเพลงชุดนี้ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงจะได้รับความสนใจจากผู้ฟังไม่มากก็น้อย

วงชาตรี

ขอกล่าวถึงบุคคลที่มีพระคุณต่อวง  ชาตรี  สองท่าน ท่านแรกคือ คุณวิทยา เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือในด้านอุปกรณ์ดนตรี ท่านที่สองคือ คุณครูไพบูลย์ ศุภวารี ท่านเป็นผู้ให้ความสนับสนุนต่อวงชาตรี  เป็นอย่างดี ฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ถ้าหากขาดบุคคลทั้งสองท่านที่ได้กล่าวมาแล้ว ชาตรี  ก็คงจะไม่ได้เป็นชาตรี ดังเช่นทุกวันน

วงชาตรี เป็นวงรักความอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับว่า เพลงของชาตรีจะต้องออกมาอย่างโน้นหรืออย่างนี้ และนี่ก็คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้วงชาตรีไม่ยอมไปเล่นประจำที่ไหน

วงชาตรี


ในต้นปี พ.ศ. 2519 วงชาตรีก็ได้ออกผลงานชุดที่ 2 ให้กับบริษัท เมโทรแผ่นเสียงชุดนั้น คือ แฟนฉัน  และในระยะเดียวกันนั้นเอง คุณครูไพจิตร ศุภวารี ซึ่งเป็นน้องชายของคุณครูไพบูลย์ ศุภวารี ได้ให้ครูไพบูลย์ ช่วยติดต่อวงโฟล์คซองสักวง เพื่อแต่งเพลงให้หนังเรื่อง สวัสดีคุณครู คุณครูจึงได้แนะนำวงชาตรีให้ทำเพลงในหนังเรื่องนั้น

แนวเพลงของวงชาตรีในยุคนั้น ออกไปลักษณะเป็นการเอาใจเด็กๆ เสียมากกว่า ยกตัวอย่างเพลง  สวัสดีคุณครู พอหนังเรื่อง สวัสดีคุณครู ดัง ก็เลยทำให้วงชาตรีเพิ่มความดังขึ้นไปอีก

ต่อมาในตอนปลายปี 2519 วงชาตรีก็ได้ออกผลงานชุดที่ 3 ให้กับบริษัท เมโทรแผ่นเสียงอีกชุด แต่ชุดค่อนข้างจะแปลกสักหน่อยคือ เป็นผลงานของคุณชาตรี ศรีชล ซึ่งเป็นแนวลูกทุ่ง

และพอขึ้นต้นปี 2520 วงชาตรีก็ได้ทำผลงานชุดที่ 4 ให้กับห้างแผ่นเสียงทองคำ นั่นคือชุด  ฝนตกแดดออก  ซึ่งเป็นเพลงในหนังเรื่อง ฝนตกแดดออก  และนอกจากนี้ วงชาตรียังได้ทำเพลงให้กับหนังอีกหลายเรื่องเช่น รักแล้วรอหน่อย จ๊ะเอ๋เบบี้

และระยะนั้นเอง ก็เป็นช่วงอวสานของวงการแผ่นเสียง เพราะยอดการจำหน่ายตกต่ำ ความนิยมทางด้านแผ่นเสียงลดน้อยลง แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นจุดเริ่มต้นของวงการเทป มันปรากฎขึ้นมาเหมือนเป็นตัวตายตัวแทน เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ความบันเทิงเป็นสิ่งที่คู่กับมนุษย์โลกมานานแล้ว เมื่อมนุษย์เบื่อสิ่งหนึ่ง ก็มักหันไปหาอีกสิ่งหนึ่ง เช่น จากแผ่นเสียงหันไปนิยมเทปคาสเซ็ท

ข้อมูลจากเวบ FANCHATREE.COM โดยคุณ  Pluethipol Prachumphol

สักขีเจ้าพระยา วงชาตรี

เนื้อเพลง สักขีเจ้าพระยา

วงชาตรี

โอ้เจ้าพระยาไหลมาแต่ไกล
งามเหนือใครขวัญใจงามจ้า
โอ้เจ้าพระยา ช่วยตอบวาจาข้าได้ไหม

โอ้เจ้าพระยาตอบ ข้าสักที
อันตัวฉันนี้ต้องตรมหมองไหม้
เพราะว่าหัวใจ ฉันเฝ้าอาลัยต่อเธอคนนั้น

ช่วยบอกเขาหน่อย
ว่าคนรอคอยกำลังเศร้าหมอง
เพราะเฝ้าใฝ่ปอง
ดวงพยอมคงมีเยื่อใย

โอ้เจ้าพระยาจงเป็นสักขี
อันตัวฉันนี้จะขอรักมั่น
ต่อเธอคนนั้น ขอสัญญามั่นต่อเจ้าพระยา

(ขอบคุณ ..คุณฟ้าสีเทา.. สำหรับเนื้อเพลงครับ)

สักขีเจ้าพระยา

Artist: วงชาตรี