คุยกับวง Blackhead อัลบั้ม Ten

บทสัมภาษณ์วง Blackhead นำโดย ปู แบล็คเฮด ถึงอัลบั้ม Ten จากนิตยสารภาพยนตร์บันเทิง

งานนี้ต้องบอกว่าเปิดตำราคุย เพราะมีโอกาสได้ตั้งวงสนทนาแบบถึงลูกถึงมนุษย์ กับกลุ่มคนดนตรีหัวดำอย่าง แบล็คเฮด จะบอกว่าพวกเขากลับมาใหม่คงไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะพวกเขาไม่ได้หายไปจากวงการ เพียงแต่ไปซ่อนตัวย้อมผม อุ๊ย ไม่ใช่ ไปซ่อนตัวทำงานดนตรี และพบปะแฟนเพลงอยู่แบบเงียบๆ ไม่อยากเชื่อว่ากว่าหลายปีก่อนๆๆๆๆ คนดนตรียุคพัฒนาอยากพวกเขายังคงดำรงชีวิตอยู่ได้กระทั่งทุกวันนี้ เมื่อใดที่เขาปรากฏตัว สาวกคนหัวดำทั้งเก่าและใหม่ ก็ลุกขึ้นมาฮัมเพลงตามทุกครั้งไป งานนี้ต้องบอกว่าฝีมือๆ ล้วนๆ หาใช่สิ่งอื่นใด มันคือสิ่งที่พวกเขาภูมิใจนักภูมิใจหนาว่า นี่แหละใช่เลย… เริ่มสนทนาก็ฮาตรึม เปิดฉากด้วยผู้ชายหัวหยิก ไม่ค่อยหล่อแต่สาวหลง เขาพูดถึงอัลบั้ม Ten ของพวกเขาว่า…

ปู : ชุดนี้มันเป็นการกลับมาของพวกเรา ความจริงจะบอกว่ากลับมาคงไม่เชิง เราไม่เคยหายไปจากแฟนเพลง เพียงแต่หายไปจากน้องพี่สื่อต่างๆ เท่านั้น ทุกคนยังเดินวนอยู่กับดนตรี แต่เหมือน 2 ปีที่เราห่างจากชุดที่แล้วนะ มีงานเยอะมาก เราเดินสายต่างจังหวัด ตามผับ ร้องไปทั่ว และแต่ละคนก็มีงานดนตรีเป็นของตนเอง บางคนมีห้องอัด บางคนทำเพลงโฆษณาแบบนี้ครับ 10 ปีที่เราทำงานเพลงมามันคงมารวมเป็นเหตุและผลของงานชุดนี้มากกว่าครับ

แนวดนตรีเป็นอย่างไรบ้าง จะหนักหรือเบา หรือยังคงเป็นแบล็คเฮดเหมือนเดิม
ปู : แน่นอนครับ เรายังเป็นเรา เพลงช้าแต่เสียงสูง เราเป็น meltal Rock แต่ความจริงก็ครบรสชาตินะ คือมีทุกอย่างแหละครับ

ไม่กลัวคนจะเบื่อหรือครับ เพราะอาจถูกมองว่าไม่มีการพัฒนา
เอก : ไม่ครับ เพราะว่าการที่เราอยู่มาได้ด้วยความเป็นตัวเราตรงนี้ มันก็เชื่อขนมกินได้ว่าคนฟังของเรามีกลุ่มที่แฝงตัวอยู่แน่นอน ในสังคม เราไม่ค่อยกลัวว่ามันจะไม่ดี คนจะไม่ตอบรับ หรือจะถูกมองว่างานของเราชุดนี้ ไม่พัฒนาเลยว่าอย่างนั้นคงไม่ใช่ แต่การที่เราอยู่มาได้สิบปี ด้วยการคงคอนเซ็ปต์ความเป็นคนหัวดำของเราไว้ได้ มันเจ๋งนะน้อง

ปูหนุ่มผมหยิกเริ่มเสริมว่า
ปู : ผมว่ามันจริงๆ ครับ เรามีความสม่ำเสมอในการทำงานแบบนี้ มันแน่อนอยู่แล้วครับ เราไม่เคยคาดหวังว่ามันจะต้องสูงด้วยมั้ง เรื่องรายได้และความนิยมนั่นและครับ เราก็เลยไม่เคยอกหัก เราทำเพราะมันอยากทำ มันมีความสุขกับตรงนั้นไงครับ ทุกวันนี้เราทุกคนยังคงอยู่ครบทีมนะครับ

เชื่อครับว่าเป็นแบบนั้น แบล็คเฮด มีแฟนเพลงเยอะเพราะนานมาแล้ว ถ้าพูดถึงคนฟังใหม่ล่ะ เขาถามหาและต้องการอะไรจากกลุ่มคนหัวดำบ้าง
เอก : เชื่อว่าเรามีคนฟังที่เกิดใหม่เข้ามาเยอะนะ ไม่รู้เพราะอะไร แต่ว่าเราทำงานเราไม่เคยทิ้งทั้งคนฟังเก่าและใหม่ เราคิดถึงเขาเสมอเลย คือบางคนมันเหมือนโตมากับเราไงครับ ช่วงที่เราทำเพลงใหม่เขาก็อยู่ในวัยที่กำลังเริ่มฟังเพลง แล้ววันนั้นวันนี้ เขาก็โตมากับเรา เขาอยู่กับเรา มันมีจริงๆ นะผมว่าอย่างนั้น แต่ว่าในยุคนี้สิ่งที่เห็นได้คือ ยอดขายนั่นแหละที่ตก เพราะเทคโนโลยีมันเยอะ แต่ถ้าเราไปเล่นตามผับทุกที่คนเยอะนะ

แบล็คเฮด 2เห็นบอกว่าชอบเรียกตัวเองว่ายุคแตกหน่อ
ปู : ใช่ครับ 10 ปีก่อน เราคือกลุ่มที่เริ่มทำอะไรที่แหกออกไป เราทำงานที่ไม่เหมือนใคร ร็อกที่แตกต่าง มาถึงวันนี้เราก็ยังอยู่ จากเมื่อก่อนแบล็คเฮดคืองานประจำ ตอนนี้มันคืองานอดิเรกที่อยากทำทุกวัน อยากทำเพราะรัก 10 ปีพวกเรามีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะไง อย่างที่บอกว่าทุกคนมีงานที่ต้องทำ มันโตแล้ว มีกิจการเป็นของตัวเอง แต่ว่าถามว่าเราอยากทำแบล็คเฮดมั้ย อยากมาทุกวันนะ เรายังเฮฮา เจอกันทุกวันครับ แฟนเพลงเรามากขึ้นนะ เท่าที่เห็น สิ่งนี้คือกำลังใจในการทำงานของเรานะ

ย้อนกลับไปถึงสิ่งที่บอกว่าไม่เคยคาดหวังกับการทำงาน หรือบอกว่าไม่หวังสูงหน่อย
ปู : ก็หมายความว่าเราไม่เคยคิดว่าเราเปรี้ยงขนาดนั้น แต่เราคิดว่าเป็นอะไรที่เป็นเส้นตรงมากๆ มันเป็นแบบนี้จริงตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มันก็เลยทำให้เราไม่ค่อยจะคาดหวังว่ามันจะขึ้นจะลง มันเป็นแบบนี้ ทำงานออกมาเราก็มีกลุ่มคนฟัง ตอนนี้มันเป็นอะไรที่เป็นความสนุกเพียงอย่างเดียว เราไม่คิดมาก เพราะว่าเราเองก็ไม่เคยขึ้นสูง หรือลงต่ำไปกว่านี้นะ นี่คือตัวเรา นี่คือความเป็นคนดนตรีและมันคือน้ำใจที่คนฟังมีให้เราตลอดเวลา”

แฟนเพลงของแบล็คเฮดเป็นอย่างไรบ้าง เคยถามถึงพวกเขาบ้างมั้ย
ปู : (โหน้อง) แฟนเพลงของพวกเราจะเป็นอะไรที่ไม่ค่อยเห็นพวกเขาตาม คือเราไม่ใช่แบบหน้าใส ตี๋ น้องก็น่าจะเข้าใจนะว่าแฟนเพลงเขาจะเป็นอย่างไร คือมีทั้งผู้หญิงผู้ชาย จากเมื่อก่อนจะเป็นพวกผู้ชาย แนวเถื่อนๆ นะ แต่เดี๋ยวนี้คนฟังเป็นอะไรที่เขาพัฒนาการฟังเพลงของเขาขึ้น แฟนเพลงของเราก็เลยมีแนวโน้มว่าเปลี่ยนตาม แต่หมายถึงคนเก่าก็ฟังต่อนะ เขาจะปรับตามเรา แต่ผมว่ายุคสมัย ความนิยมมันก็เปลี่ยนตามไปด้วยนั่นแหละครับ เมื่อก่อนนะเขาจะตามเรา แต่ตอนนี้แฟนๆ ผมคงไม่วิ่งตามกรี๊ดแล้ว แค่เราไปร้องเขาก็ไปดู แต่ไม่ใช่มาเฝ้านะ ไม่ใช่ขนาดนั้นนะครับ

10 ปีนี้มีความหมายว่าอย่างไร
ปู : 10 ปี เป็นอะไรที่เรามาถึงเสาหลักกิโลที่ 10 มั้ง และเราก็ยืนยันว่าเราจะไปเรื่อยๆ แบบนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิด คือยืนยันว่าเรารักมากครับ อยากให้เป็นเราแบบนี้ตลอดไป ยอมรับว่าการทำงานตรงนี้เป็นความสุข เป็นอะไรที่เราถวิลหาตลอดเลยครับ

ขณะที่พูดคุยมีเสียงหัวเราะเฮฮาเกิดขึ้นตลอด…จุ๊ๆๆๆๆ แต่พูดไม่ได้ว่าเราหัวเราะเรื่องอะไรกัน ผู้ชายเขาคุยกัน ออกอากาศไม่ได้ ฮึ้ม…

ภาพยนตร์บันเทิง ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม – 6 กันยายน 2548

สมาชิกวงคาราวาน

สมาชิกวงคาราวาน วงดนตรีเพื่อชีวิตทีเ่ป็นตำนาน ประกอบไปด้วยสมาชิก 3 คน ได้แก่ สุรชัย จันทิมาธร มงคล อุทก และ

สุรชัย จันทิมาธร
สุรชัย จันทิมาธร เริ่มเล่นกีตาร์ครั้งแรกก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ได้รับการฝึกฝนพอเข้าใจพื้นฐานจาก มโนภาษ เนาวรังษี
ต่อจากนั้นฝึกหัดด้วยตัวเองเรื่อยมา ได้รับอิทธิพลจากเพลงสากล ของ โจอัน เบซ บ๊อบ ดิแล่น ร่วมกลุ่มเล่นดนตรีกับ วีระศักดิ์ สุนทรศรี ในนาม ท.เสน และสัญจร ก่อนมารวมกับบังคลาเทศแบนด์เป็น คาราวาน ในที่สุด เดินทางเข้าป่าแสวงหาความหมายและปรัชญาชีวิต 2519 จากป่าคืนเมือง 2525

 

มงคล อุทกเพลงพิณแห่งพนมไพร
มงคล อุทก เป็นชาวอำเภอพนมไพร เป็น รองนายกองค์การนักศึกษา วิทยาลัยเทคนิค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ขณะเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ร่วมกับกลุ่มเพื่อนในชื่อกลุ่มบังคลาเทศแบนด์ โดยมีแกนนำ อีกคนคือ ทองกราน ทานา จนกระทั่งมาเจอกับกับ ท.เสนและสัญจรรวมตัวเป็น คาราวาน ในที่สุด ในช่วงเรียนที่เทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือมงคล อุทก โชคร้ายประสบอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซด์จนต้องเสียขาไปข้างหนึ่ง มงคล อุทกประทับใจเพลงพิณครั้งแรกจากคนบ้าติดกัญชา นั่นก็เพียงพอที่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาซึมซับ และหลงรักเสียงดนตรี โดยเฉพาะพิณ ที่ร่วมกับ คาราวาน มาจนทุกวันนี้

 

แดงคาราวานวีระศักดิ์ สุนทรศรี
ที่รู้จักในนาม ”แดง” คาราวาน” เริ่มต้นชีวิตเป็นนักเขียน โดยใช้นามปากกาว่า “สัญจร” ่ร่วมกันเล่นดนตรีในนาม ท. เสนและสัญจร ก่อนเข้าร่วมกับสมาชิกวงบังคลาเทศแบนด์ สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของดนตรีเพื่อชีวิตด้วยการกำเนิดวง ” คาราวาน” ในเวลาต่อมา หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย กระทั่งกลับออกมาอีกครั้งในช่วงปลายปี 2523

 

20 ปี คาราวาน ประวัติศาสตร์ที่ยังคงหายใจของบทเพลงจากกองเกวียน

วง คาราวาน

เดือนที่ผ่านมาอาจจะเป็นแค่เพียงเดือนหนึ่ง ที่บ่งบอกว่าวันเวลาของปีใหม่กำลังใกล้จะมาถึง แต่สำหรับอีกคนหลายคนที่ผู้เขียนเชื่อว่า ถึงแม้ว่าวันและเวลาที่ฝากไปกับปีใหม่และผ่านกลายเป็นปีเก่าไปแล้วไม่ว่าจะกี่ปี ตุลาคมไม่ใช่เป็นเพียงแค่เดือนตุลาคม หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังวีรชนคนหนุ่มสาวที่ร่วมในเหตุการณ์ ตุลาคม 2516 และ 2519 ตุลาคมคือบาดแผลที่ร้าวลึกในใจของดอกไม้สีขาวเหล่านั้น และเป็นแผลที่ร้าวรอนกว่าในดวงใจของผู้ที่สูญเสียดอกไม้ที่กล้าหาญไป ผู้เขียนเองถึงแม้จะไม่ทันที่จะอยู่ร่วมรับรู้ความเป็นไปของเหตุการณ์ครั้งนั้นยังคิดเสียดายอยู่ว่าความจริงหลายหน้าของประวัติศาสตร์ที่เยาวชนหนุ่มสาวในยุคนี้ควรจะได้ศึกษานั้นขาดหายไปจากตำราเรียน เลยต้องมาเรียนรู้และค้นหาหนังสืออ่านกันเองสำหรับผู้สนใจ หากจะพูดว่าประวัติศาสตร์สร้างวีรบุรุษแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อนได้สร้างนักคิด นักเขียน และศิลปินหลายคนเช่นกัน คาราวานคือผู้ที่เล่าขานถึงการต่อสู้เพื่อชีวิต เพื่อสังคม และเพื่อประชาชน และบทบันทึกการต่อสู้นั้นถูกเรียงร้อยอยู่ในบทเพลงของศิลปินกลุ่มนี้

คอนเสิร์ต 20 ปี คาราวาน เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ของพลังวีรชนในครั้งนั้น ยังคงได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งกว่าอบอุ่นจากแฟนเพลงที่เคยเป็นพลังแห่งหนุ่มสาวในยุคนั้นและแฟนเพลงสาวๆหนุ่มๆในยุค 20 ปีให้หลัง บ่ายแก่ๆของเสาร์นั้นหน้าหอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดูคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อผู้เขียนฝ่าการจราจรไปถึงสนามหลวงประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนเวลาแสดงนั้น มีผู้ชมกว่าครึ่งเดินเตร็ดเตร่รออยู่บริเวณนั้นแล้ว บ้างก็นั่งเล่นอยู่ใต้ร่มไม้ข้างหอประชุม บ้างก็กำลังคุยอย่างออกรสชาติกับเพื่อนฝูงที่บันไดหน้าหอ มีหลายคนอยู่เหมือนกันที่เดินดูหนังสือ เสื้อยืด และของที่ระลึกชิ้นอื่นๆอยู่หน้างาน ไม่มีการขายบัตรหน้างานเนื่องจากบัตรถูกจองหมดจนเกลี้ยงก่อนวันแสดง ประตูหอประชุมเปิดช้ากว่าเวลาที่แจ้งไว้เล็กน้อย ในรอบที่ผู้เขียนไปดูแฟนเพลงน่ารักมากทยอยกันเข้าหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ ภายในเวลาสั้นๆหอประชุมใหญ๋ธรรมศาสตร์ก็แน่นขนัดทั้งชั้นบนและชั้นล่างที่มีการเสริมเก้าอี้ตลอดแนว ผู้เขียนคิดว่านอกจากคอนเสิร์ตของเบิร์ด ธงไชย เมื่อครั้งที่ผ่านมาที่ศูนย์วัฒนธรรมแล้ว คงจะมี แต่คอนเสิร์ท 20 ปี คาราวานเท่านั้นที่เรียกผู้ชมได้อย่างล้นรอบแบบนี้

ฉากบนเวทีถูกจัดไว้อย่างเรียบง่ายมีแต่จอไสล์ดสีขาวขนาดใหญ่ 2-3 อันแขวนอยู่ข้างๆ และด้านหลังเวทีถูกยกพื้นเล็กน้อยสำหรับวางเครื่องดนตรีและจัดแต่งเวทีให้เป็นรถบรรทุกเก่าๆ จากยุค 20 ปีก่อน รถบรรทุกคือการสัญจรเล่นดนตรีไปทุกที่ของคาราวานในครั้งนั้น คนที่เข้าไปฟังคาราวานไม่ได้แปลกใจกับความที่ไม่มีอะไรในการจัดฉาก และไม่ได้คาดหวังที่จะให้มีฉากที่หรูวิจิตรพดร้อมบรรดาแดนเซอร์อีกหลายชีวิตบนเวที เพราะคนที่รู้จักคาราวานดีย่อมตระหนักดีว่าความเรียบง่ายของฉาก สะท้อนถึงความเรียบง่ายของเพลงคาราวาน ความเรียบง่ายที่เนื้อหาสาระและท่วงทำนองที่ผสมผสานกับเครื่องดนตรีพื้นบ้านมีพลังมากพอที่ไม่ต้องนำสิ่งอื่นมาประกอบ เป็นความเรียบง่ายที่ยิ่งใหญ่อย่างถ่อมตนของคนที่รู้ว่ามีอะไรที่ดีกว่าที่จะมอบให้กับคนฟัง

ผู้สร้างตำนานเพลงเพื่อชีวิต 4 คน น้าหงา (สุรชัย จันทิมาธร) น้าหว่อง (มงคล อุทก) น้าอืด (ทองกราน ทานา) และ น้าแดง (วีระศักดิ์ สุนทรศรี) ขึ้นเวทีพร้อมเครื่องดนตรีประจำตัว กีตาร์ ไวโอลิน และพิณพื้นบ้านจากอิสาน นี่เองที่เป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวของ คาราวานที่ใช้ต่อสู้กับระบอบการปกครองสมัยนั้น น้าหงารับหน้าที่เป็นพิธีกรของงาน เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นคนพูดคุยมากที่สุดเมื่อเทียบกับสมาชิกคนอื่นๆในวง

ในช่วงแรกคาราวานเริ่มเล่าเรื่องของเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยเพลงเก่าหลายเพลงที่เคยปลุกสำนึกและวิญญานของคนหนุ่มสาวในยุคนั้นให้ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็น จิตร ภูมิศักดิ์ วีรบุรุษที่ตายอยู่ข้างทางเกวียนหรือเพลงกุลาที่น้าหงาเล่าให้คนฟังว่าเป็นเพลงที่ทำให้สมาชิกทั้ง 4 คน ได้มาเจอกัน ฟังแล้วเห็นภาพของทุ่งกุลาที่มีฟ้าสีแห้งดินสีโหย ได้อย่างค่อนข้างชัดเจน เพลงนกสีเหลือง อีกเพลงหนึ่งที่ระลึกถึงวีรชนคนหนุ่มสาวที่เสียชีวิตไป ผู้ที่แต่งเพลงนี้คือหนึ่งในเพื่อนพ้อง คาราวาน (วินัย อุกฤษณ์) ที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจจากเหตุการณ์มาก และแต่งเพลงนี้หลังออกจากโรงพยาบาลประส่ทให้กับนกสีเหลืองทุกตัวที่จากไป ในตอนท้ายๆของเพลงผู้ฟังได้ร้องคลอตามกับคาราวาน กางปีกหลีกบินจากเมือง เจ้านกสีเหลืองจากไป เจ้าคือวิญญานเสรี บัดนี้เจ้าชีวาวาย เพลงนี้จบด้วยบรรยากาศเงียบและอารมณ์เศร้า ๆที่ยังคงค้างในใจทั้งของผู้เล่นและผู้ฟัง จะมีภาพขาวดำของ คาราวานจากอดีตเมื่อวันวานฉายบนจอไสลด์เป็นระยะๆ คนภูเขาเพลงที่เป็นที่รู้จักกันดีอีกเพลงหนึ่งที่ วิสา คัญทัพ แต่งคำร้อง (ที่น้าหงาแอบแซวว่าเนื้อเพลงค้นเจอในซองกีตาร์) มีเสียงช่วยร้องคลอเบาๆกับ ร้อยดาวร้อยเดือนมา ร้อยดวงมาเรียงเป็นวง ตั้งแต่ต้นจนจบเพลง เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายของช่วงแรกของการแสดงที่เล่นอะคูสติคตลอดจอไสลด์ในช่วงพักนี้แปลงสภาพมาเป็นจอหนังขาวดำ เป็นการสัมภาษณ์ความคิดเห็นของบุคคลหลายหลากวงการเกี่ยวกับ คาราวาน

สำหรับช่วงแรกนี้มีความคิดเห็นของคนหนุ่มๆ สาวๆในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็จะชื่นชอบ คาราวานในฐานะที่เป็นวงดนตรีเพื่อชีวิตที่กลายเป็นอมตะไปแล้ว และ คุณ จิรพรรณ อังศวานนท์ได้พูดถึง คาราวาน ในแง่ดนตรีที่มีเนื้อหาและทำนองเดิมๆ แต่สำหรับผู้เขียนคิดว่าจุดนี้คือจุดที่ คาราวาน ได้แสดงให้เห็นถึงความมีอะไรๆของ คาราวานที่ทำให้เนื้อหาและทำนองเดิมๆนั้นยังอยู่ได้ในใจของผู้ฟังจนถึงปัจจุบัน ในช่วงสองเป็นการเล่นกับวงใหญ่มีกลองและเครื่องดนตรีไฟฟ้าร่วมบรรเลงด้วยเท่าที่ผู้เขียนจำได้ น้าหมานจากวง หินเหล็กไฟมาเล่นกลองให้เพลงในช่วงนี้เป็นเพลงที่น้าหงาบอกว่า เป็นเพลงใหม่ที่ยังไม่ค่อยคุ้นหูมากนัก เริ่มตั้งแต่เพลงเพลง เส้นทางเดิน ที่น้าอืดแต่ง เพลง สหาย ที่น้าหว่องแต่งและร้องเอง อาจจะเป็นเพราะใช้เครื่องดนตรีจากวงใหญ่เล่นด้วยเต็มวงก็ได้ เพลงสุดท้ายของช่วงสองนี้เป็นเพลงที่น้าหงาเล่าให้ฟังว่าเป็นเพลงที่เพื่อนๆเรียกว่าเพลง ภูเขาทลาย ซึ่งชื่อจริงๆของเพลงนี้ คือ วัฏสงสาร

บทสัมภาษณ์ช่วงสองเป็นการตีความ คาราวาน จากมุมมองของนักวิขาการที่รู้จักกันดี คุณ ไกรศักดิ์ ชุณหวัณ ที่ให้คำจำกัดความของ คาราวาน ว่าเป็นทูตสันติภาพ จาก ประเทศไทยไปแสดงที่ญี่ปุ่นบ้าง ที่ลาวบ้างและล่าสุดที่เขมรตามคำขอวานของ คุณ ไกรศักดิ์ อีกท่านหนึ่งที่ให้ความเห็น คือ คุณ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้ให้ความหมายของ คาราวาน ที่ผู้เขียนคิดว่า ถูกใจ ผู้เขียนที่สุด ( และอาจจะอีกหลายคน ) ที่ว่า คาราวาน คือ ความหลากหลายและลุ่มลึกทางวัฒนธรรม หลากหลายจากการเอาดนตรีและภาษาถิ่นพื้นบ้านมาใส่ในบทเพลง และลุ่มลึกในความหมายและท่วงทำนองที่กินลึกเข้าไปในอารมณ์และความรู้สึก คุณทอดด์ ทองดี หนุ่มอเมริกันคืออีกผู้หนึ่งที่ได้ให้ความคิเห็นเกี่ยวกับ คาราวาน สำหรับคุณ ทอดด์ ผลงานของคาราวานไม่ใช่ขนมที่ยัดเยียดให้คนฟังเหมือนเพลงตลาดทั่วๆไป แต่เป็นเพลงที่ทำให้คนคิดตาม เนื่อหาในเพลงนั้นสามารถเอามาถกเถียงหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้

เพลงที่เล่นในช่วงสามนี้สะท้อนคำจำกัดความของคาราวาน ของคุณ ชาญวิทย์ได้อย่างเด่นชัดในแง่ของความหลากหลายทางวัฒนธรรม เรื่องราวของชาวบ้าน อิทธิพลทางด้านภาษา วิถีการดำเนินชีวิตและดนตรีของชนกลุ่มน้อยถูกบันทึกในบทเพลงที่เล่นในช่วงนี้ เช่น เพลง ไอปองปอนซาเป็นภาษาของชาวลัวะ ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ชายแดนจังหวัดน่าน เป็นเพลงที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมการกินของชาวลัวะ ที่มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่หาได้ตามป่า เพลงนี้น้าหงาแต่งขึ้นจากประสบการณ์และความประทับใจจากการที่ไปอยู่ป่าทางเหนือและได้รู้จักกับชาวบ้าน ผุ้เขียนชอบเสียงหวานจากไวโอลินฝีมือของน้าอืดในเพลงนี้มากเป็นพิเศษ ภาษาและสำนวนชนกลุ่มน้อยเหล่านี้เป็นคำง่ายๆแต่กินความหมายลึก เพลงใกล้ตาไกลตีน ก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่เอาสำนวนพื้นบ้านมาใช้เป็นชื่อเพลง

มาถึงช่วงศิลปินรับเชิญ ท่านแรก คือ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อนร่วมอุดมการณ์และร่วมต่อสู้มาด้วยกันกับ คาราวาน ให้เกียรติร่วมเป่าแคนในเพลงที่จัดให้อยู่ในระดับ คลาสสิคของเพลงเพื่อชีวิตไปแล้ว เดือนเพ็ญ บทเพลงของการอาลัยหาแผ่นดินเกิดที่ข้ามน้ำข้ามฟ้าและป่าเขามาจากแดนไกล คุณ ปู
พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ นักร้องเพลงเพื่อชีวิตรุ่นน้องที่กำลังมาแรงเป็นศิลปินรับบเชิญอีกคนหนึ่งทั้งช่วยร้องและเล่นกีตาร์ ในเพลง ดวงจำปา เพลงของอ้ายน้องชาวลาวและเพลง คืนรัง อีกเพลงของ คาราวานที่หลายคนชื่นชอบ

ในเนื้อเพลงที่ว่า โอ้ยอดรักฉันกลับมา จากขอบฟ้าที่ไกลแสนไกล จนถึง ฉันเหนื่อย ฉันเพลีย ฉันหวัง… เพลงนี้คนฟังคงจะอย่างน้อยที่สุดอาจจะร่วมรับรู้การกลับคืนรังของคนที่เข้าป่านนั้น ต้องการกำลังใจและความเข้าใจมากแค่ไหนจากคนเมืองในยุคนั้น เพลงในช่วงสุดท้ายเป็นเพลงที่มีเนื่อหาค่อนข้างแรง มีจังหวะและทำนองที่หนัก และยิ่งใช้วิธีเล่นแบบเต็มวงใหญ่แล้ว ทำให้บรรยากาศในช่วงท้ายนี้รุนแรงและคึกคักอย่างเต็มเครื่อง เช่น คนกับควาย คนตีเหล็ก ถั่งโถมโหมแรงไฟ

คนฟังมีโอกาสได้ฟังเพลงชาติ (ไทย) ในแบบของ คาราวาน เมื่อใกล้ 6 โมงเย็น ก่อนที่จะจบการแสดงมีแขกรับเชิญมาว่ากลอนสดวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาบ้านเมืองรวมไปถึงการทำงานคณะรัฐบาล และเพลง คาราวาน บทเพลงของกองเกวียนคนทุกข์ที่ครั้งหนึ่งเคยปลุกพี่น้องผองเพื่อนชีวิต ตื่นเถิดมวลมิตรผู้ยังหลับไหลถูกใช้เป็นเพลง ปิดท้าย

สามชั่วโมงเศษกับการฟังดนตรีจาก คาราวาน เหมือนกับการได้ฟังส่วนหนึ่งในเรื่องราวชีวิตของผู้ที่ถูกกดขี่และเอารัดเอาเปรียบ เหมือนกับการได้รับรู้และสัมผัสบางส่วนเพื่อความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริง วีรกรรมของวีรชนในยุคแสวงหาอาจจะกำลังถูกลืมและค่อยๆกลืนหายไปกับกระแสตามควมเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคนี้ถ้าเราไม่มี คาราวาน สำหรับผู้เขียนเป็นหนึ่งในเยาวชนหนุ่มสาวของยุคนี้ คาราวาน คือ ตำนานที่ยังมีชีวิตและ คาราวาน คือความจริงของประวัติศาสตร์ที่ยังคงหายใจอยู๋

สมาชิกวงบอดี้แสลม

สมาชิกวงบอดี้แสลม

สมาชิกวง บอดี้แสลม ในยุคแรก มี 3 คน ดังนี้

ตูน บอดี้แสลมชื่อจริง อาทิวราห์ คงมาลัย
ชื่อเล่น ตูน
ตำแหน่ง ร้องนำ
วันเกิด 30 พฤษภาคม 2522
การศึกษา ปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศิลปินที่ชื่นชอบ Match Box 20,Lifehouse
กีฬาที่เล่น ฟุตบอล
ประสบการณ์ทาง ด้านดนตรี อดีตสมาชิกวงละอ่อน
ร้องแร็พให้กับวง Big Ass
เล่นดนตรี(กลางคืน) ในนามวง กุหลาบขาว
ผลงานที่ผ่านมา อัลบั้ม ละอ่อน
อัลบั้มพิเศษ “เทพนิยายนายเสนาะ”


เภา บอดี้แสลมชื่อจริง รัฐพล พรรณเชษฐ์
ชื่อเล่น เภา
ตำแหน่ง กีตาร์
วันเกิด 12 เมษายน 2522
การศึกษา ปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
ศิลปินที่ชื่นชอบ Enya,Smashing Pumpkins
กีฬาที่เล่น ฟุตบอล
ประสบการณ์ ทางด้านดนตรี อดีตสมาชิกวงละอ่อน
ผลงานที่ผ่านมา อัลบั้ม ละอ่อน
อัลบั้มพิเศษ “เทพนิยายนายเสนาะ”


ปิ๊ด บอดี้แสลมชื่อจริง ธนดล ช้างเสวก
ชื่อเล่น ปิ๊ด
ตำแหน่ง เบส
วันเกิด 30 เมษายน 2522
การศึกษา ปริญญาตรี คณะสังคมศาสตร์ ภาควิชาจิตวิทยา ม.เกษตรศาสตร์
ศิลปินที่ชื่นชอบ Silly Fools,Mr.Big
กีฬาที่เล่น ฟุตบอล
สบการณ์ทาง ด้านดนตรี อดีตสมาชิกวงละอ่อน
เล่นดนตรี (กลางคืน) ในนามวง Go So Big
ผลงานที่ผ่านมา อัลบั้ม ละอ่อน
อัลบั้มพิเศษ “เทพนิยายนายเสนาะ”
แสดงละครชุดเรื่อง “พ่อ”

เบิร์ด กุลพงศ์ บุนนาค ไม่ได้มามือเปล่า เอาเสียงเพลงมาฝากอีกแล้ว

หลังจากทิ้งความประทับใจผลงานเพลงชิ้นล่าสุดภายใต้ชื่อกลุ่มศิลปิน “SYSTEM 4” โดยการ นําของ เบิร์ด กุลพงศ์ บุนนาค แล้วต่างคนก็ต่างบินลัดฟ้าเพื่อกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐ อเมริกา จนเมื่อเร็ว ๆ นี้เราก็ได้ข่าวการกลับมาเยือนของเบิร์ดอีกครั้ง การมาครั้งนี้หรือว่าจะถึง ฤดูกาลแห่งการบรรเลงเสียงเพลงของเขาแล้ว ด้วยความเอื้อเฟื้อจากพี่สาวผู้อารี เธอกับฉันก็เลย ได้โอกาสพูดคุยกับหนุ่มคนนี้เร็วกว่าที่คาดคิด เรื่องราวครั้งใหม่ในการกลับมาครั้งนี้ของเบิร์ด ที่ออกจากปากคําของเขาเอง พร้อมอยู่ตรงนี้ แล้ว

“ใช่แล้วครับ กลับมาคราวนี้ผมกลับมาทํางาน อัลบั้มชุดใหม่”

ได้ข่าวมาว่าจะเป็นการร่วมงานกับ ฮาร์ท อีก ครั้ง

ฮะ

แล้วน็อต จ๋ำ โจ๋ ล่ะฮะ

SYSTEM 4 ก็ยังอยู่ คือว่าเราอยู่ที่โน่น (อเมริกา) เป็นกลุ่มเพื่อนกัน ใครว่างเมื่อไหร่ก็คงจะ มาร่วมงานกันอีกครั้ง คือช่วงที่ทํา SYSTEM 3 ชุดแรกนั้น ฮาร์ทเค้าบอกว่าเค้าอยากเรียน เค้ายังไม่พร้อมที่จะกลับมาช่วงนั้น ซึ่งผมก็เล่นดนตรีอยู่ กับน็อต จ๋ำ โจ๋ เค้าก็บอกเค้าอยากจะกลับมาเมืองไทยช่วงนั้น ก็เลยเป็น SYSTEM 4 ในตรงนั้น ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็น SYSTEM 5 ก็ได้ใช่มั้ยฮะ มี ฮาร์ทเข้ามาอยู่ด้วย คืออาจจะเป็นวงใหม่เลยก็ได้ แต่พวกผมทํางานร่วมกันทั้งนั้นแหละ อย่างชุดนี้ที่ กับฮาร์ท จ๋ำเค้าก็ช่วยมาตีกลองใจก็ช่วยมาเล่นเบส น็อตเข้ามาเล่นกีตาร์ให้อะไรเงี้ย ซึ่งเค้ากลับมาร่วมงานกับเราที่นี่ไม่ได้ ก็เลยเป็นเบิร์ด กับฮาร์ท เพราะมีเวลาว่างที่จะมาทํางานตรงนี้ ที่เมืองไทยพอดี

ในการออกผลงานชุดใหม่นี้ก็ต้องมีการย้ายค่าย ให้ด้วย

คือครีเอเที่ยที่เราเคยทํา SYSTEM 4 ตอนนี้เค้าไม่ได้ทําแล้ว ตอนหลังนี้เราก็มาคุยกับหลาย ๆ บริษัท ก็รู้สึกว่าดีตาเค้าจะให้อิสระเรามาก ในการที่จะทําผล งานออกมาตามสไตล์ของเรา ก็คิดว่าคงจะลงเอยตรง นี้นะฮะ แต่ก็ไม่ได้เซ็นสัญญาอะไร เป็นสัญญาใจกันมากกว่า คือเราเข้าไปคุยกับเค้าแล้วสิ่งที่เค้าพร้อมที่จะทําให้เรา และสิ่งที่เราต้องการมันไปกันได้ ไม่มี ปัญหา

พูดถึงแนวเพลงแล้ว การกลับมาทํางานกับฮาร์ท อีกครั้ง แนวเพลงจะกลับมาเป็นอย่างที่เคยทําคู่กัน หรือเปล่า

เพลงมันคงจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เพราะแก่ขึ้น (หัวเราะ) รู้จักเพลงมากขึ้น รู้จักดนตรีมากขึ้น เพราะฉะนั้นมันก็คงจะไม่เหมือนเดิมที่เดียวนัก แต่เป็นแนวที่ทุกคนฟังแล้วรู้สึกได้ว่า เออ..มันเป็นเบิร์ดกะฮาร์ทอะไรเนี้ย

การท่าเพลงล่ะฮะยังเป็นการทํากันเองอยู่รึเปล่า

ฮะ ถ้าทํางานกับฮาร์ทนี้ ผมยกให้ฮาร์ททั้งหมดเลย ฮาร์ทจะเป็นผู้โปรดิวซ์ แต่เป็นเพลงที่ทั้งผมแต่ง และฮาร์ทแต่ง

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทางคีตานะฮะ

ไม่ฮะ นี่ไงที่บอกว่าเป็นอิสระก็คือว่า เขาไม่มายุ่งตรงนี้ เค้ายอมรับในสิ่งที่เราทํามา ซึ่งในสมัยนี้ก็เป็นอะไรที่ให้อิสระกันพอประมาณ

ตอนนี้ทําไปได้ซักกี่เปอร์เซ็นต์แล้วฮะ

สัก 80 เปอร์เซ็นต์ได้ เราทํามาจากที่อเมริกากันหมดเลย อีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือการตบแต่งเรียบเรียงที่เมืองไทย แต่เมนมันนี้เสร็จแล้ว ส่วนเรื่องกําหนดวางแผงนี้ไม่รู้อะ เราถามเค้าว่าจะวางเมื่อไหร่ เค้าก็จะบอกว่ามันขึ้นอยู่กับการตลาด เค้าคิดว่ามันเหมาะตอนใหนเค้าก็จะออกให้เรา ซึ่งอาจจะเป็น เดือนหน้า หรืออาจจะเป็นอีก 6 เดือนก็ได้ แล้วแต่ว่าเค้าจะออกตอนไหน

เบิร์ดก็ต้องทิ้งทุกอย่างทางโน้นมารองานชิ้นนี้

ก็ต้องรอ เรื่องเรียนเรื่องอะไรก็ต้องหยุด

กับกําหนดเวลาที่ไม่แน่นอนอย่างนี้ไม่ทําให้เสีย การเรียนเหรอ

คือเบิร์ดเรียนปริญญาโทอยู่ แต่ก็ทํางานไปด้วยก็คงต้องหยุดไว้ก่อน

งานที่ทําที่โน่นเป็นงานดนตรีอย่างนี้รึเปล่า

เป็นงานอย่างอื่นครับ เป็นงาน AE ประสานงานธุรกิจ คือพี่ชายผม 2 คนเค้าตั้งโรงงานเกี่ยวกับ การบรรจุหีบห่อ PACKING มีพนักงานซัก 15 20 คน ผลิตงานอย่างกล่องใส่วิดีโอ..อะไรอย่างนี้ ซึ่ง เครื่องมือต่างๆ ของวิดีโอจะมีของพลาสติกใส่ โรงงานเราก็จะเป็นคนทําซองพลาสติกนั้น หรือว่าอัลบั้มรูปเราก็ทําตรงพลาสติกอะไรอย่างนี้ แต่จริง ๆ แล้ว ผมแยกออกมาทําอีกบริษัทหนึ่ง คล้าย ๆ นายหน้า คือเราจะรับงานมาสารพัดงาน แต่เราจะเลือกงาน งานที่เราคิดว่ากําไร ๆ ดี หรือเหมาะสมกับงานโรงงานเรามาก เราก็จะส่งเข้าโรงงานเราเอง หรืองานที่เราคิด ว่ากําไรไม่ดีนัก หรือเราทําไม่สะดวก เราก็จะส่งไปให้ บริษัทอื่น ลูกค้าก็จะเป็นฝรั่งทั้งหมดเลย

งานเหล่านี้ใช่มั้ยที่เบิร์ดคิดจะยึดเป็นอาชีพจริง ๆ ในอนาคต

ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฮะ คือของพี่ชาย 2 คน มาทําตรงนี้ แล้วเค้าถนัดในการโปรดักชั่น หรือการ ผลิตมาก ผมเรียนจบ MARKETING มา ก็เลยมาช่วยด้านการตลาด งาน A. E หรืองานประสานงาน ระหว่างลูกค้ากับทางบริษัทนี้มันก็โอ.เค. สักช่วงแต่ ในระยะยาวมันคงจะจําเจ ไม่รู้สิเห็นเพื่อนหลายคน ทํา A E อยู่ปีสองปีเค้าก็จะเบื่อแล้ว

ฟังดูแล้วงานของเบิร์ดท่าทางจะยุ่ง แล้วเอาเวลาที่ไหนไปทําเพลงล่ะฮะ เพราะไหนจะต้องเรียนอีก

ช่วงนั้นเวลาว่างน้อยมาก ตอนนั้นเรียนไม่ได้เลย ช่วงที่มาทํา SYSTEM 4 แล้ว กลับไปนี้ผมทํางาน เต็มที่เลยครึ่งปี โดยที่ไม่ได้เรียนเลย หลังจากนั้นเราก็ รู้สึกมาเริ่มเรียนต่อดีกว่า แต่จริงๆ แล้วอยากทํางาน แล้วครับ มันแก่แล้ว ดนตรีนี้ก็เป็นงานอดิเรก ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็เจอกับฮาร์ทเค้า ก็มานั่งคิดกันว่าจะ เอาเพลงนี้มั้ย เพลงนั้นมั้ย จะทํายังไง ซึ่งเราอยู่คน ละที แต่เวลามาเจอกันนี้ก็จะมาเจอแบบอัตโนมัติ คือเราจะรู้กันว่าเราจะเจอกันได้ที่ไหน จะมีที่ประจํา ที่ไปกัน พอว่างก็ไปเจอกัน จะเป็นอย่างนี้ซะส่วนมาก

แต่ช่วงที่เข้าห้องอัดเสียงจริง ๆ นี้ ไม่รู้ว่าจะ เหมือนเมืองไทยรึเปล่านะ ที่อเมริกามันแพง เพราะ ฉะนั้นการที่เราจะเข้าห้องอัดเสียงนี้เราจะต้องเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย อะไรจะขึ้นตอนไหน เปียโนจะเข้าตอนไหน แยกตรงไหนต้องเตรียมให้เรียบร้อย เข้าไปใบนี้ต้องพร้อมเลย มันจะเร็วมาก ๆ เทคโนโลยี สมัยใหม่มันจะเป็น SEQUENCER สามารถที่จะลง เสียง กลอง กีตาร์ เปียโน ใน GIGITAL ได้ เราจะลง ก่อนแล้วมันจะยังเข้า TRACK 24 TRACK เลย ทํา ให้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เพราะสิ่งที่เราจะยิงเข้าเนื้อเทป จริงๆ ในห้องอัดเนีย อาจจะเป็นเสียงร้อง เสียง ประสาน แต่เสียงกลองในชุดใหม่ของเรานี้ 70% จะเป็นกลองจริง แต่ไม่รู้ว่าคนจะฟังออกมั้ยว่าเป็น เสียงกลองจริงๆ

ความรวดเร็วนี้เป็นเหตุผลที่ทําให้เลือกอัดเสียงที่ โน่นหรือเปล่า หรือเพราะความสะดวก

ความสะดวกมากกว่า เพราะถ้าเราจะมาอัด เสียงเมืองไทย มันก็เสียเวลาเปล่า อยู่ที่โน่นเราใช้ เวลาว่าง ศุกร์ เสาร์-อาทิตย์เข้าไปอัดเสียงมันก็เสร็จ แล้ว แต่ไม่ได้ว่าเค้าเก่งกว่าเลยนะพูดตรงฝีมือคนไทย ทําได้เหมือนกัน

มันจะทําให้ต้นทุนการผลิตงานของเบิร์ตมาก กว่าศิลปินคนอื่นรึเปล่า

ใช่ ๆ เท่าที่ผมเข้าใจนะฮะ ไม่รู้ว่ามันจะเป็น จริงขนาดใหน ส่วนมากที่เมืองไทยเค้าทําเทป MASTER มาแล้ว เค้าจะขาย MASTER แล้วเค้าจะได้ กําไรจาก MASTER ด้วย อย่างเค้าลงทุน MASTER 3 แสน เค้าอาจจะมาขายบริษัทเทปอีกที่ 5-6 แสน อะไรเงี้ย ซึ่งตรงนั้นมันคือกําไร ส่วนพวกผมค่าใช้จ่ายจากตรงนั้นมันแพง การที่เราขาย MASTER ให้บริษัทเทป เราจะไม่ได้กําไรตรงนั้น เพราะค่าใช้จ่ายเราสูงกว่าคนอื่นเค้า ซึ่งเราจะมาบวกราคาตรงนั้นเพิ่ม เค้าก็คงไม่เอาหรอก แต่ก็โอเค.ฮะ เราถือว่า เราได้ทํางานที่ต้องการจะทํา ( จะเป็นการทํางานตามความพอใจที่ต้องการนํา
เสนอของเราเอง ไม่ค่อยจะคํานึงถึงความเป็นธุรกิจเท่าไหร่

ก็พูดง่าย ๆ ตอนเข้าไปคุยกับบริษัทต่าง ๆ นี้ เค้าก็จะบอกว่าทําอย่างนี้มันอาจจะขายได้ไม่เยอะนะ แทนที่คุณจะขายเป็นล้าน ก็จะขายได้แค่แสน ถ้าคุณให้เราแต่งให้ หรือให้เราคิดแนวดนตรีให้ คุณอาจจะขายได้เยอะกว่านี้ ซึ่งเราก็บอกไม่เป็นไรหรอกครับ เราขอตรงนี้ไว้เป็นอะไรที่เราภูมิใจดีกว่า ถึงแม้ว่าเพลงมันอาจจะไม่ดังทะลุยอดฟ้า แต่เราฟัง แล้วเรารู้สึกว่า เออ นี่เป็นเพลงที่เราแต่งออกมาหรือ ว่าเราเป็นคนทํา ความภูมิใจมันอยู่ตรงนั้น มันไม่ได้อยู่ที่เงินเท่าไหร่

ซึ่งวงการเพลงไทยทุกวันนี้ธุรกิจมันมาควบคุมศิลปินไปหมดแล้ว

ฮือ..ใช่จริงๆ นะ ไม่ได้ว่าใคร แต่มันเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ คือว่านักดนตรีหรือว่านักร้องไทย สมัยนี้ จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่นักดนตรี เป็นนักแสดงหรือ ใครก็ได้ที่พอเป็นที่รู้จักก็เป็นนักร้องได้แล้ว ซึ่งหลายคนก็ร้องได้ดีนะฮะ แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าที่ตัวของเค้า จะไม่มีความรู้ทางด้านดนตรี จุดบอดมันอยู่ตรงนั้น

กับสภาพที่เป็นไปอย่างนี้ มันมีผลบังคือให้เรา ปรับสภาพไปตามระบบอย่างนั้นมั้ย

ก็นิดหน่อย แต่ก็อย่างที่บอก เราก็พยายามจะยืนของเราอยู่ตรงนี้ ขอแต่งเองเพราะว่าเราเป็น อย่างง ๆๆๆ นี่ยังดีนะที่ว่าเราเคยทําเพลงมาก่อนแล้ว ถ้าเพิ่งมาเริ่มทําตอนนี้เค้าคงไม่ให้เราทําหรอก เพราะ ว่าสมัยนี้เท่าที่ดู ทุกคนที่ออกเทปจะเป็นใครที่ประชาชนรู้จักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา ละครหรือไม่ก็เป็น คนที่เด่นจริง ๆ แต่ว่าไม่ใช่ว่าที่เมืองนอกเค้าจะไม่มี อย่างนี้นะฮะ มีนะฮะ แต่คือเค้ามีหมดทุกอย่างแบบบ้านเราเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็มี อย่างบริษัทที่ทําเพลงของ ไคลี มีน็อก, เจสัน โดโนแวน, และอีกหลาย ๆ วงเค้า ก็จะเป็นยังงี้ คือจับคนที่ดูดีเอามานี้ แต่งเพลงให้ เลยอะไรง แต่ว่ามันก็มีอีกกลุ่มที่เล่นดนตรีมาตั้งแต่ เดือนละ 40 เหรียญ จนกระทั่งมีแมวมองมาเห็นเข้า อะไรอย่างนี้

เบิร์ดกะฮาร์ทนี้ขอเป็นอย่างหลังดีกว่า

ก็ขอเป็นอะไรที่เป็นตัวเราเอง ผมยังเสียดาย บริษัท ไนท์สปอร์ต ที่เราเริ่มต้นที่นั้น แต่ก็อีกล่ะ นะฮะ บริษัทถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะไม่รอด ในเมื่อ ไม่คิดถึงการตลาดกัน ทําแต่เอากล่องอย่างเดียว เงิน มันก็หมดกันได้ อย่างในท์สปอร์ตนี้จะเป็นแบบโอด ผมยอมรับว่าคุณทําเพลงได้ไปทํามาเลย เราจะไป ทําอะไรยังไง เค้าไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวตรงนั้นเลย ไม่เคย มีใครมาชี้ว่าคุณต้องร้องเพลงนี้อย่างง ๆๆๆๆ อันนี้ ผมก็ติดนิสัยนี้มาเหมือนกัน ซึ่งมันเป็นนิสัยที่เสีย สําหรับวงการในวันนี้ (หัวเราะ)

เจออย่างนี้แล้ว รู้สึกท้อบ้างมั้ย

(ยิ้ม) แต่มันก็ต้องมีขึ้นมาล่ะนะฮะ ถ้าไม่มี ก็คงลําบาก เพราะเชื่ออย่างว่าคนฟังเพลงเนี่ยเค้าจะ ไม่รู้จักเพลงดี ๆ ถ้าเค้าไม่เคยได้ฟัง เค้าจะไม่มีสิ่งเปรียบเทียบ ให้ตัดสิน มันก็ลำบากตรงนั้นเหมือนกัน ก็ถึงบอกไงว่า ฟังดูแล้วมันเป็นตัวเรา ที่ฟังดูแล้วมัน อาจจะไม่ดีเท่าคนอื่นเค้า อ้อ มีวันหนึ่งที่เข้าไปเสนองานที่บริษัทหนึ่ง เค้าพูดถึงเนื้อเพลงมันไม่ทันสมัย ก็อาจจะใช่นะฮะ แต่ไม่ได้หมายความว่าเนื้อเพลงของ เรามันไม่ดีนะฮะ เพียงแต่ว่าคนเค้าชินกับการได้ยิน ถ้อยคําอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าจะบอกว่าของเราไม่ดีเท่า.. ผมไม่เชื่อฮะ ผมว่ามันแล้วแต่ เพราะเค้าไม่ชินกับคํา อย่างนี้มากกว่า เรา

แล้วเบิร์ดคิดว่ารสนิยมในการฟังเพลงของ คนไทยทุกวันนี้ชอบแบบไหน

ผมมาอยู่เมืองไทยนาน ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าเออ คนไทยชอบแบบนี้นะ ต้องเป็นประโยคที่ได้ความเลย อย่างของอ้อมถอยดีกว่า พลิกล็อคกลับดึก หรือ อะไรสักอย่างที่เป็นธีม (THEME) เป็นเรื่องไปเลย ซึ่งเพลงของผมบางทีมันจะไม่มีอย่างนั้นนะ เราก็จะ ร้องไปเรื่อย ๆ

และเท่าที่สังเกตเพลงส่วนใหญ่จะมาจากแรง บันดาลใจ

ใช่อะ ส่วนมากจะเป็นอย่างนั้น

แล้วชุดนี้จะมีเพลงที่เป็นชื่อผู้หญิงมาอีกรึเปล่า เพราะทุกชุดจะไม่พลาดเลยนะ

จริงๆ แล้วมีฮะ (ตอบยิ้ม ๆ) แต่ว่าโดนฮาร์ท ดึงออกไป ฮาร์ทเค้าขอให้ดึงออก แต่เค้าคงไม่ได้ คํานึงว่าทุกชุดมีแต่ชื่อผู้หญิง อาจจะคิดว่าดนตรี อาจจะไม่เหมาะก็จะไม่ค่อยมายด์ ไม่ค่อยเถียง หรือ บางที่ฮาร์ทเค้าจะคิดว่า เพลงมันดีเอาไว้ชุดหน้าดีกว่า (หัวเราะสนุกสนาน) แต่เพลงดีนะ ชื่อเพลง ขัตติยา ก็เป็นเพลงที่ผมคิดว่าเพราะดีนะฮะ ก็เลยเก็บไว้คราวหน้าคงได้ยินกัน

แต่เบิร์ดกะฮาร์ทออกคอนเสิร์ตก็คงได้ยินแล้วมั้ง เพราะเห็นชอบเล่นเพลงที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ ในคอนเสิร์ตนี้

(หัวเราะ) ก็หวังว่าจะมีคอนเสิร์ตนะ เพราะ ถ้าเทปไม่ดังก็คงไม่มีคอนเสิร์ต แต่ช่วงนี้ก็ต้องรอ ไปก่อนล่ะ ซึ่งผมก็ต้องอยู่เมืองไทยรอด้วยเหมือนกัน พรุ่งนี้ฮาร์ทก็จะบินกลับมาแล้วล่ะ (ตอนคุยกับเบิร์ด นั้นฮาร์ทยังไม่กลับมาจ๊ะ)

อ๋อ….ตอนที่เบิร์ดกลับมานี้ได้ข่าวว่ากลับมาก่อน สงครามอ่าวเปอร์เซียเกิดวันเดียวเองใช่มั้ย

ฮะ

คนอเมริกันตื่นตัวเรื่องนี้ยังไงบ้างรึเปล่าฮะ

มันอยู่ไกล มันไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่ แต่เค้าก็ตื่นตัวกันเหมือนกัน แต่เป็นเปอร์เซนต์ที่น้อย สําหรับคนที่ไปรบ

แล้วเบิร์ดไม่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทางกลับบ้านของตัวเองบ้างเหรอ

มีฮะ มีครับ เพราะเค้าประกาศเลยด้วยซ้ำว่า เดินทางช่วงนั้นไม่ค่อยดี แต่ส่วนมากจะเกี่ยวกับทางยุโรปมากกว่า ทางเอเซียไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ พวกผู้ก่อการร้ายนี้จะอยู่ทางยุโรปมากกว่า เพราะฉะนั้น คนจะไปยุโรปน้อยมาก แต่ตอนที่ผมจะกลับมานี้ ยังไม่รู้เลยนะว่าสงครามจะเกิด แต่ในใจผมนั้นเชื่ออยู่ตลอดว่าต้องเกิดแน่ ๆ เพราะถ้าตามข่าวมาตลอด จะเดาออกว่าเกิดแน่ ๆ คนอเมริกันจะรู้ว่า ผู้นําของ ตัวเองคิดอะไร

แต่คิดว่าเบิร์ดคงรู้จิตใจของคนอเมริกันดี เพราะ อยู่ที่นั่นตั้งแต่เด็ก ๆ

ฮะ ก็พอจะรู้บ้าง เพราะผมอยู่ที่นี่มา 10 ปี ตอนเด็ก ๆ นี้อยากผมทอง ตาสีฟ้า (เบิร์ดพูดลอย ๆ เหมือนคนกําลังนั่งฝันก็เลยได้ขำกับภาพที่เห็นและ เรื่องราวที่เค้าเล่า)

อยากเป็นคนอเมริกันจริง ๆ เลย…

(พยักหน้าตาละห้อย) มันรู้สึกเหมือนเรา แตกต่างจากเค้าน่ะ ทั้ง ๆ ที่เราไปเที่ยวนี้ เราพูด เหมือนเค้า ตลกกับโจ๊กเค้า กินข้าวเหมือนเค้า แต่เดินไปไหนนี้เราจะไม่เหมือนเค้า ทั้ง ๆ ที่อยู่ในกลุ่มเด้า เป็นความรู้สึกในตอนเด็ก ๆ พอช่วง 15-16 ปี ตอนหลังก็มาคิดว่าเราก็ใช่ฝรั่งนี้ ก็เลยหาอะไรที่มันเป็น ไทย ๆ ใส่ตัว

เด็ก ๆ นี่เบิร์ดจะอเมริกันจําเลยฮะ

อื้อฮึ ช่วง 9 ขวบ ถึง 15 ปี นี้จะไม่เจอคนไทยเลย นอกจากคนในครอบครัว แต่ภาษาไทยกับวัฒนธรรมไทยนี้ก็ใช้บ่อย ๆ เพราะที่บ้านยังเป็นอะไรแบบ ไทย ๆ อยู่ แต่ความรู้สึกตอนนั้นนี่คิดว่าตัวเองเป็น อเมริกันนะ ภาพเก่า ๆ ตอนเด็ก ๆ ก่อนไปเรียนที่โน่นนี่ จึงได้ไม่กี่ภาพหรอกในเมืองไทย แต่ทํายังไง เราก็เป็นอเมริกันไม่ได้ไง พอโตขึ้นความคิดที่อยากเป็นคนไทยมันก็เลยมีขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกงง ๆ นะกว่าจะค้นพบตัวเองว่าเราไม่ใช่อเมริกัน เราเป็น คนไทย (เบิร์ดเล่นความหลังแบบข้าตัวเองในที) ตลกมากเลย..จนได้กลับเมืองไทยอีกทีก็ช่วงที่ทําเทป เบิร์ดกะฮาร์ทชุดแรกนั้นแหละ

แล้วพอได้กลับบ้านครั้งแรกหลังจากจากไปซะ นานแล้วละฮะรู้สึกยังไง

รู้สึกว่าตัวเองมาเที่ยว จริง ๆ แล้วอยากมาเที่ยวไง เพราะหลังจากเรารับสภาพ ก็พยายามอ่าน หนังสือไทย อ่านนิยายไทย คือเรามีเบสิคภาษาไทยแล้ว อ่านยังไง เขียนยังไง แต่ช่วงแรก ๆ นี้เขียนไม่คล่องเลย มาคล่องก็ตอนตอบจ.ม.แฟน ๆ นี่แหละ ก็ต้องบอกว่าขอขอบคุณแฟนเพลงที่เขียนจม.มาหา ทําให้เขียนภาษาไทยคล่องขึ้น (หัวเราะ)

มาเมืองไทยใหม่ ๆ นี่ก็จะได้ยินเค้าพูดว่า ก๋วยเตี๋ยวอนุสาวรีย์อร่อย เอ๊ะ เป็นยังไงไม่เคยกิน เค้าก็จะเล่าว่าหัวหินสวยนะ เกาะเสม็ดสวย ภูเก็ตเป็นอย่างนี้นะ เหมือนเราเป็นนักท่องเที่ยวน่ะ พอดีช่วง นั้นฮาร์ทเค้าจะกลับมาด้วย ก็เลยเอาเพลงมาเสนอ เลยมาเที่ยวด้วย แล้วเสนองานเป็นผลพลอยได้ จริง ๆ แล้วผลงานชุดแรกนั้นไม่ใช่ของผมกับฮาร์ท 2 คนนะ แต่เราทํากัน 4 คน มีผม มีฮาร์ท มีโจ๋ มีจ๋ำ นั่นคือ วงแรกเลย 4 คน แต่พอมาจริง ๆ อะไรมันก็เร็วมาก พอเราไปเสนอไนท์สปอร์ต แล้วเค้าเอาเพลงเราไปเปิด ออกอากาศรายการโลกสวยด้วยเพลงเป็นครั้งแรก ก็ไม่รู้จะเอาชื่อวงอะไร ใครเล่น พอเค้าดูว่าเพลงเกือบทั้งหมดเรา 2 คนแต่ง แต่ไม่มีชื่อวง เลยกลายเป็นเพลง ของ 2 หนุ่ม เบิร์ดกะฮาร์ท ซึ่งมันเป็นอะไรที่ง่ายมาก ติดเลย เพราะสมัยนั้นจําได้ว่า ยังไม่มีชื่อวงดนตรี หรือศิลปินที่เป็นชื่อเล่นสมัยก่อนเค้าไม่ใช้ชื่อเล่นกัน แล้วปรากฏว่าได้ทําเทปเลย แต่ปรากฏว่าโจ กับจํา มาไม่ได้เลยเป็นแค่ 2 คน

เอาผลงานมาเสนอครั้งนั้น ตั้งความหวังไว้แค่ไหน ว่าจะได้รึไม่ได้

ตอนนั้นตั้งความหวังสูงนะ จําได้ว่าจอย เพราะว่าเพลงเราเจ๋ง แต่เค้าปฏิเสธเรามั้ง แต่พอเค้าเอาไปเปิดออกรายการวิทยุ คนกลับชอบ ซึ่งเราก็แอบโทรไปขอเพลงตัวเอง อย่างนี้ก็เคยนะฮะ (หัวเราะ) แต่ก็เซอรไพรส์ว่ามีคนขอเพลงเราเยอะทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ออกเทป จนกระทั่งเพลงของเราติดอันดับ 1 ก็เลยได้ออกคอนเสิร์ต กับศิลปินในค่ายในท์สปอร์ตที่มีมาก่อนแล้ว แต่ปรากฏว่าคนที่มาดูธเนศ ดูมัม ลาโคนิค ดูปานศักดิ์ เค้าก็ร้องเพลงเราได้หมด โดยที่เรายังไม่มีเทปเลย เค้าก็เลยให้มาเห็น สัญญาทําเทปเลย เร็วมาก

จากตรงนั้นก็เลยทําให้เบิร์ดต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่างอเมริกา กับเมืองไทยบ่อยขึ้น เพราะมาทํางานเพลงที่นี่

ฮะ แต่จริง ๆ แล้วเบิร์ดอยากอยู่เมืองไทยนะ แต่รู้ว่าที่เมืองไทยนี่เป็นอะไรที่นอกจากจะมีเงินแล้ว คงต้องมีการศึกษาที่มันสูง ๆ ด้วย เรากลับ เมืองไทย นี่คิดว่าจะทําธุรกิจอะไรก็ได้ แต่ว่าคิดว่าคงจะต้องเรียนปริญญาโทให้มันจบก่อน ความรู้สึกที่อยากจะอยู่เมืองไทยนี้ เกิดมาจากความรู้สึกที่ว่าเราจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงไทย ผมมีแฟนฝรั่งมาหลายคนแล้ว แต่เข้ากันไม่ได้เลย ความเป็นอยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราเคยชินในครอบครัวเราตามวิถีชีวิตของคนไทย เรื่องตัดเล็บนี้ หรือการเล่นหัว หรือการใช้เท้าเปิดทีวีนี้มันเข้ากันไม่ได้ มันสะดุดนะถ้าเราเจออะไรที่ไม่ใช่คนไทย ในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะฉะนั้นผมจึงเชื่อว่าผมเป็นคนไทย เพราะจริง ๆ แล้วการอบรมในเรื่องวัฒนธรรม การเป็นอยู่นี้พ่อแม่สอนผมให้เป็นคนไทยตลอด ถึงแม้นอกบ้านจะเป็นฝรั่งหมด แต่เข้าบ้านผมจะเป็น คนไทย ความรู้สึกที่อยากเป็นอเมริกันนั้นมันก็เกิดเฉพาะตอนเด็ก ๆ เท่านั้นเองที่เห็นคนรอบข้างเป็น อเมริกันหมด ก็อยากจะเป็นบ้างอะไรยังนั้นมากกว่า

คิดไว้ว่าอีกนานเท่าไหร่เบิร์ดถึงจะกลับมาอยู่ เมืองไทยจริง ๆ

คิดว่าสักอีก 2 ปี อันนี้ตอนก่อนไปเราขายบ้านหมด ถ้าเราจะกลับมาเราก็ต้องพร้อมทุกด้าน ซึ่งก็คิดว่า 2 ปี แล้วนี่ผมก็เตรียมตัวเพื่อที่จะกลับมา

แล้วเบิร์ดจะทําอะไรถ้าอยู่เมืองไทย เป็นงาน ธุรกิจหรือว่าด้านเสียงเพลง

จริง ๆ แล้วอยากทําบริษัทโฆษณา หรือไม่ก็พวกการตลาดอะไรสักอย่าง แต่จริง ๆ แล้วเรามีความรู้ด้านเทปเยอะ หรืออาจจะมาทําโปรโมชั่นให้กับ บริษัทเทปก็ได้ กันหลายๆ อย่างที่คิดไว้ แต่คงจะเกี่ยวกับการตลาด ซึ่งถึงเวลานั้นงานด้านร้องเพลงคิดว่า คงจะต้องหยุดทํา มันจะขัดกัน คือช่วงนี้ที่เราทําได้ เพราะว่าธุรกิจที่เมืองนอกนี่มันเป็นของเราเอง เรา สามารถควบคุมได้ แต่ถ้ามาอยู่เมืองไทย เราทํางาน ให้ใครสักคนเป็นลูกจ้างเค้า ก็จะทุ่มเทให้กับบริษัท นั้น 100% นะฮะ ไม่ใช่จะมาขอหยุดงาน 2 เดือน ไปทําเทปอย่างนั้นไม่ใช่คงจะเป็นการทํางานอย่าง จริงจังไปเลย

จะทิ้งงานเพลงลงคอเชียวหรือ

ยิ้ม…เราเคยร้องเพลง ถึงตอนนั้นก็อาจจะ แต่งเพลงให้คนอื่นร้องบ้าง เราอาจจะไม่ร้องเองแล้ว อาจจะทําให้คนอื่นแล้ว ถ้าเราต้องทํางานควบคู่ ไปด้วย
แต่ช่วง 2 ปีที่ยังเหลือเรายังคงจะได้ยินผลงานคุณภาพจากหนุ่มนี้พร้อมเพื่อนฝูงที่มุ่งมั่นในงานดนตรีอีกแน่นอน ก่อนที่พวกเขาจะก้าวจากไป สู่หนทางที่เลือกสรรแล้ว แต่หนทางที่ว่านั้นอาจจะ ย้อนมาสู่เส้นทางนี้อีกครั้งก็ได้ ใครจะไปรู้

อ้อ..ว่าแต่ว่าอย่าลืมตามไปให้กําลังใจใน ผลงานชุดใหม่ของเบิร์ดกะฮาร์ทที่พวกเขาเอามา ฝากด้วยล่ะ

นิตยสาร เธอกับฉัน
ฉบับที่ 179
ปักษ์หลัง มีนาคม 2534

ข้อมูลและภาพจากเพจ คุณแต้ว บก.โมเดล

ทาทา ยัง Real Tata

ความแปลกใหม่ของอัลบั้ม Real TT

ทาทาได้เป็น Co-Producer ได้เข้าไปร่วมงานมากขึ้นจากที่เคยเป็นเพียงคนร้องอย่างเดียว ชุดนี้ได้ไปฟังเพลง เลือกเพลง เนื้อร้องและตัดสินใจเลือกเพลงเองทั้งหมด ตัวทาทาเองอยากทำอยู่แล้ว และพี่เบิร์ด (กุลพงษ์ บุญนาค) ก็เปิดโอกาสให้ทาทาได้ทำงาน ต้องของคุณพี่เบิร์ดที่ไว้ใจค่ะ อีกอย่างหนึ่งคือเนื้อเพลงที่ชุดนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา อย่างเพลง “อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน”

อุปสรรคของการทำงาน
คือ แรกๆทาทาตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกเพลงไหน จนพี่เบิร์ดต้องบอกว่าให้เลือกสักที เพื่อคนอื่นจะได้ทำงานต่อได้ ชุดนี้ทาทาทำเพลงเองทั้งหมด 10 เพลง แต่ให้พวกพี่ๆที่ทำการตลาด เลือกว่าจะใช้เพลงไหนโปรโมท

เพลง Super man Super fan
เป็นเพลงสนุกๆ เนื้อหาเข้าใจง่าย MV ทาทาเล่นเอง จะออกแนวแก่นๆเหมือนลูกสาวกำนันเลย (หัวเราะ) ตอนถ่าย MV ก็สนุกมาก ทาทาเพิ่มมุขเองด้วย ทุกอย่างออกมาสนุกเป็นตัวของทาทามากที่สุดค่ะ

Concept ของ Real TT
เพลงเร็วจะสนุก ส่วนเพลงช้าจะสวยค่ะ คือจะเป็นเพลงที่ร้องสื่ออารมณ์ค่ะ เนื้อเพลงเป็นแบบตรงไปตรงมา อย่างเพลง “อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน” ,”ผิดไหมที่ไม่กลับไปรักเธอ”,”ข่าวลือ” เป็นต้นค่ะ

มีคนมองว่าชุดนี้กลับไปเหมือนชุดแรก
จริงๆแล้วการที่เราอยู่วงการนี้ ถ้าเราไม่ทำอะไรแปลก ให้ฉีกแหวกแนวแล้วมันขายไม่ได้ นั่นคือกลยุทธ์ในการขายของวงการเพลง ถ้าคนมองว่าจะกลับไปเหมือนชุดแรกคงไม่เหมือน เพราตอนนี้ทาทาโตแล้ว ชุดแรกจะแสดงความเป็นตัวของตัวเองในวัย 14 พอมาชุด”ช็อต” ก็โตขึ้น ชุดนั้นต้องมีการบอกแฟนเพลงที่ติดภาพเดิมของทาทา ว่าทาทาโตแล้วนะ ตอนนั้นมีการคุยกันในกลุ่มที่ทำอัลบั้มว่า น่าจะมีการบอกคนฟังว่าเราโตแล้ว ก็เลยต้องมีเพลงที่แรงๆ ภาพที่แรงๆแบบที่สามารถให้คนฟังลืมภาพเก่าๆของเราให้ได้ แต่พอมาตอนนี้ คนฟังรู้แล้วว่าเราโตแล้ว ตอนนี้เราจะเป็นอะไร มันก็เป็นเรื่องของเราแล้ว เป็นที่มาของชื่ออัลบั้มชุดนี้ว่า Real TT คือความเป็นตัวตนจริงๆของทาทาค่ะ ถ้าเรามองตลาดเพลงทั่วโลกตอนนี้ เราจะเห็นว่า “ความจริง” ขายได้ดีที่สุด ลองมอง Avril Lavigne สิ ตัวจริงเค้าก็แต่งตัวอย่างนั้น ก็ขายอย่างนั้น คนก็ชอบ

ทาทามองว่าศิลปินแต่ละคนมี art อยู่ในตัวเอง มี charactor อยู่แล้ว ก็เอาจุดนั้นมาขาย

การแต่งตัว
ทาทาชอบการแต่งตัวที่เป็นตัวของตัวเอง ยกเว้นตอนเล่นคอนเสิร์ตนะคะ เพราะคอนเสิร์ตเป็นอะไรที่ต้องพิเศษ เป็นการแสดงอย่างนึง ต้องแหวกแนวหน่อย แต่พูดถึงเวลาปกติทาทาก็จะใส่เสื้อ-กางเกงธรรมดา ชุดนี้ก็เป็นแบบธรรมดา

ทาทายังแนวการร้อง
เป็นแนวเดิมที่ทาทาถนัด คือ pop-dance เพราะทาทาจะไม่ร้องเพลงอะไรที่ทาทาไม่ถนัด ทำได้ไม่ดี ทาทาไม่ทำ ทาทาคิดว่าคุนดูอยากดูความเป็นธรรมชาติของศิลปินมากที่สุด เพราะเค้าจะรู้สึกว่าเค้าจับต้องเราได้ คนดูเค้าจะตัดสินเองว่าเค้าจะชอบศิลปินคนนี้หรือไม่ การที่เราไปหลอกลวง โดยที่ตัวจริงเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถ้ามีคนมาเจอ จะเป็นข่าวเปล่าๆ

หายไปนาน กลัวแฟนเพลงลืมไหม
ทาทาไม่กลัวแฟนเพลงลืมนะ ทาทามั่นใจว่าแฟนเพลงจำทาทาได้ (ยิ้ม) ที่หายไป ก็ไปทำเพลงชุดนี้แหละค่ะ แต่ไม่ได้รีบร้อน ทาทาไม่ชอบทำงานแบบอุตสาหกรรม แบบ 2 เดือนออกเทป ทาทาทำงานแบบสบายๆค่ะ

ความคาดหวัง
ทาทาไม่อยากคาดหวังอะไร เพราะทาทาเป็นคนที่ถ้าหวังจะหวังสูงมาก กลัวว่าถ้าไม่ได้ตามที่หวังแล้วจะเสียใจ ทาทาทำดีที่สุดแล้ว

ทาทาถือว่าโชคดีกว่าคนอื่นที่ได้มาทำงานตรงนี้ ตอนนี้ทาทาเลยไม่มีจุดมุ่งหมายอะไร เพราะผ่านจุดมุ่งหมายที่สำคัญๆในชีวิตมาแล้ว นั่นคือ การเป็นนักร้อง ออกอัลบั้ม เคยอยู่จุดที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดมาแล้ว จุดสูงที่สุดของทาทาคือ อัลบั้มชุดแรก ตอนนั้นเศรษฐกิจดี ไม่มีเทปผี คนต้อนรับทาทาดี มีคนรู้จักทาทาเยอะ มีคอนเสิร์ตเล่นหลายรอบ ส่วนจุดที่ต่ำที่สุดของทาทา น่าจะเป็นช่วงที่เทปผีระบาด ทาทาหายไป มีศิลปินคนอื่นมาแทน คนฟังก็ลืมๆทาทาไปบ้าง แต่ทาทาไม่คิดมาก เพราะเป็นธรรมดาของวงการนี้ ทาทาบอกกับตัวเองว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่ทาทาต้องอยู่ให้ได้ ทาทาว่าคนเราจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดก็ตอนที่อยู่จุดต่ำสุดนี่แหละ

อยู่จุดสูงสุดเวลาเจอเรื่องดีๆใครๆก็รับได้ หรือเจอเรื่องไม่ดีก็ยังรับได้ แต่จุดต่ำสุดนี่สิ ถ้าเรามีสติ เราจะเรียนรู้ได้ ทาทามีสติและคนรอบข้างทาทาก็ดีด้วย ทำให่ทาทารู้ว่าบางเรื่องต้องปล่อยวาง เราไปบังคับอะไรบางอย่างไม่ได้ โดยเฉพาะเราเป็นคนของประชาชนไปแล้ว ทาทาบอกกับตัวเองว่า ต้องอยู่ ต้องสู้ และปล่อยวางกับคนหรือคำพูดที่มันบั่นทอนจิตใจ

ทาทาโชคดีที่ที่มีครอบครัวที่อบอุ่น มีแฟนเพลงกลุ่มหนึ่งที่ให้กำลังใจ บางครั้งทาทาเจอคนที่เข้ามาว่าเรา หรืออ่านอะไรที่ให้ร้ายเรา 10 คนนะ แต่มาเจอคนที่ให้กำลังใจเราคนเดียว ทาทาอยู่ได้แล้ว เราไม่ควรเก็บเอาคำพูดที่เราไม่สบายใจมาคิด สู้เอาคำพูดดีๆมาเป็นกำลังใจดีกว่า

ทาทายังคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเปลี่ยนทัศนคติมาชอบเราได้
ทาทาคิดว่าเป็นเพราะความเสมอต้นเสมอปลายของทาทานะ คือชุดแรกเป็นยังไง ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น บางคนเห็นตรงนี้ แล้วเปิดใจ ยอมรับเรา ทาทาเป็นเด็กที่ทำงานตั้งแต่อายุ 14 ช่วงเวลาวัยเด็กของทาทาจะไม่เหมือนเด็กคนอื่น ในช่วงนั้นก็จะมีทั้งคนเข้าใจและเห็นใจ ทำให้ทาทาอยากอยู่ในวงการ ในทางกลับกันก็มีคนที่ไม่เข้าใจ ไม่เห็นใจเลยเหมือนกัน กลุ่มนี้เค้าจะมองข้ามไปว่า ทาทาไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นนะ เพราะฉะนั้นทาทาต้องใช้เวลาเรียนรู้มากกว่า พอทาทาโตขึ้นมาก็เริ่มเรียนรู้ คนอื่นก็เริ่มมองเห็นว่า ทาทาเริ่มเรียนรู้แล้วนะ แต่สิ่งท่ทาทาไม่เปลี่ยนเลบ คือ ทาทายังเป็นคนพูดตรงๆ ยังแสดงความคิดเห็น เพราะทาทาไม่มีอะไรที่จะปิดบัง และความคิดเห็นของทาทาก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

เคยท้อไหม ทำยังไง
เคยค่ะ ตอนนั้น ทาทาท้อมากกับวงการ กับข่าว ก็ถามคุณพ่อว่า เรามีเงินพอไหม ทาทาอยากไปเรียน chef คนภายนอกจะคิดว่าทาทามีเงินเยอะ แต่จริงๆทาทาไม่ได้ทำงานตั้งหลายปี มีบริษัทเป็นของตัวเองด้วย ยังต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานอยู่ ค่าบ้านใหม่ของทาทาก็ต้องจ่าย ไหนจะค่าเรียนทาง internet อีก เลยถามคุณพ่อว่า ถ้าไม่ได้ทำงานตรงนี้ เรามีเงินพอไหม ค่าเรียน chef แพงมาก คุณพ่อเตือนสติเราว่า ทาทาจะออกจากวงการนี้จริงหรือ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพรสวรรค์ ขึ้นเวทีร้องเพลงแล้วมีคนฟัง ไม่ใช่ทุกคนที่ได้เข้าห้องอัดผลิตผลงานมาได้แบบนี้ ทาทาเคยคิดว่าไม่เอาแล้ว หนีไปอยู่เมืองนอกดีกว่า แต่คุณพ่อจะสอนทาทาไม่ให้หนี ให้สู้ต่อไป

การที่เป็นคนตรง มีผลกระทบอะไรในชีวิตไหม
โดยส่วนตัวแล้วไม่มีค่ะ เพราะคนรอบๆตัวทาทาจะเข้าใจความที่ทาทาเป็นคนเปิดเผย จริงใจ ทาทาจะแสดงความรักให้กับคนรอบข้าง กับเพื่อน กับคนรักอย่างเต็มที่ ทาทารักใครแล้ว รักจริง ทุ่มเท แต่ถ้าเกิดทาทาผิดหวัง ทาทาก็ไม่เสียดาย เพราะถือว่า วันที่เราอยู่กับเค้า เราทำดีที่สุดแล้ว

ฝากถึงแฟนเพลง
อยากให้ลองฟังดู และติเข้ามา เพราะทาทายังไม่เก่ง ชุดนี้ทาทาตั้งใจทำมาก อยากให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้ทาทาด้วยค่ะ อัลบั้มของทาทาจะวางแผงวันที่ 8 สค.นี้ค่ะ ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก www.entertainment.mweb.co.th

ปฐมพร ปฐมพร ไม่ได้มามือเปล่า

ปฐมพร ปฐมพร ประวัติ

ชื่อ ปฐมพร
นามสกุล ปฐมพร
ภูมิลําเนา จังหวัดชลบุรี
การศึกษา ปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ส่วนสูง 173 เซนติเมตร
น้ำหนัก 50 ก.ก.
ผิวเนื้อ ดำแดง

เส้นทางของถนนสายดนตรีของบ้านเราในปัจจุบัน มีผู้คนมากหน้า หลายตา ดาหน้ากันเข้ามาประดับวงการ มีทั้งที่โชคหนุนบุญช่วย พลิกตัวเอง เป็นนักร้องได้เพียงข้ามคืน มีทั้งที่เป็นนักร้องได้โดยบังเอิญ และมีทั้งผู้ที่ต้อง ต่อสู้ ฝ่าฝันอุปสรรคขวากหนามจนล้าและท้อถอยไปก็เยอะ ใครที่ยังยืนหยัด อยู่ใต้ก็น่าจะเพราะใจที่รักอย่างแท้จริง หรือไม่ก็เพราะว่าเป็นคนที่จะต้อง เอาชนะอุปสรรคชีวิตให้ได้

จะด้วยอะไรก็ตาม ที่ทําให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีความแปลกตั้งแต่ชื่อและนามสกุล ที่ ปรากฏในบัตรประชาชนเหมือนกันว่า “ปฐมพร ปฐมพร” ยังคงมุ่งมั่นอย่างเด็ดเดียวที่จะสร้าง ผลงานเป็นของตัวเองให้ได้ แม้จะใช้เวลามากกว่า 5 ปีก็ตาม

อยากให้เล่าถึงประวัติส่วนตัวคร่าวๆก่อน

  • “ผมเกิดที่จังหวัดชลบุรี เริ่มเล่นดนตรีครั้งแรกก็ตอนอยู่ ม.ศ. 1 เป่าทรัมเป็ตให้กับ วงดุริยางค์ของโรงเรียน ต่อมา พอเห็นเพื่อนๆเล่นกีตาร์กันก็เลย หัดเล่นบ้างแต่ก็ไม่จริงจังอะไร มาก เพราะตอนนั้นผมเล่นฟุตบอลอยู่ด้วย อยากเป็น นักฟุตบอล แต่พอมาหัดเล่นกีตาร์ ก็เริ่มที่จะแต่งเพลงไว้ ก็หัดเล่น หัดแต่งไปเรื่อยๆ มีเพลงเก็บไว้ มากพอสมควร ช่วงม.ศ.3 ผมเข้า กรุงเทพฯ มาเจอเพื่อนคนนึง ซึ่งเค้าก็มีเพลงที่เค้าแต่งไว้ เหมือนกัน เราก็คุยกันว่าอีก 2 ปีเราจะมาเจอกันนะ เราจะ ทําเพลง จะตั้งวงเล่นกันเอง เลย ซึ่งยุคนั้นเพลงที่อยู่ในตลาด ก็ไม่ค่อยมีเพลงวัยรุ่นเท่าไร จะมีก็ชาตรีกําลังดัง ตอนหลังผมมา เรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก็ได้เจอกับเพื่อนคนเดิม ซึ่งเค้า เล่นกีตาร์เก่งขึ้นมาก เพลงที่ เราสองคนมีอยู่ก็มากพอที่จะทํา ออกมาได้แล้ว เราก็เริ่มออกหา นักดนตรีที่จะมาเล่นให้ จําได้ว่า ตอนนั้นน้ำท่วมกรุงเทพฯ ต้องเดินลุยน้ำไปหาเพื่อนๆ มือกลอง มือคีย์บอร์ด ซึ่งพวกเค้าก็ไม่อยากเล่นให้เรา เพราะเค้าเล่นเพลงสากลกันอยู่ เพื่อที่เค้าจะสามารถไปเล่นตามบาร์ได้ เราขอร้อง เค้าถึงตกลง ก็เล่นกัน ทําออกมาเป็นเพลง ชุดนึ่ง นั่นคือเมื่อกว่า 5 ปีก่อน”

© คือเพลงชุดปัจจุบันเลย หรือเปล่า
“ไม่ใช่ทั้งหมด มีเพียง ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เอามา หลังจากที่เราทําเพลงกันก็มีคนสนใจในแนวเพลงของเรา เค้าก็อยากจะสนับสนุนเรา ก็เริ่มทํากันจริงๆจังๆ พอหาเสร็จเค้าก็เอาไปเสนอบริษัทหลายแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็โอเค แต่พอถึงตอนท้ายก็มีอันต้องไม่ได้ออกทุกที่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทําไม อาจจะเป็น เพราะว่าช่วงนั้น ตลาดเพลง ยังไม่เปิดกว้างสําหรับเพลง ในแนวของผมก็ได้ มันเป็นอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนคนที่ เค้าจะสนับสนุนผมเค้าเริ่มท้อ เค้าเสียเงินไปแล้ว แต่เพลงของผมไม่มีใครยอมฟัง เค้าก็ผิดหวัง แล้วอีกอย่างนึง ความคิดบางอย่างระหว่างผมกับเค้าก็เริ่มไม่ลงรอยกันด้วย เค้า พยายามจะเปลี่ยนคาแร็คเตอร์ของผม ซึ่งผมไม่ยอม”

©เช่นเรื่องอะไรบ้าง
“ก็เรื่องการแต่งตัวอะไรแบบนี้ ซึ่งผมคิดว่ามันปลีกย่อยเกินไป แต่เค้าเอามาคิด ก็ขัดใจกันนิดหน่อยแต่ผมไม่ยอม เค้าถือว่าเค้าลงทุนให้ แต่ผมก็ถือว่าตัวผมก็ลงทุนเหมือนกัน ผมลงแรง..ลงความคิด พอสรุปกัน ไม่ได้เค้าก็เลิก ทุกคนเลิก เพราะเพื่อนๆผมส่วนใหญ่ก็ท้อกัน หมดแล้ว”

@ แต่คุณไม่..
“ใช่ ผมตั้งใจแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะท้อไม่ได้ จากนั้นผมก็เอาไปเสนอบริษัทเทปอีกหลายๆ ที่ แต่ละที่เค้าก็ให้เหตุผลกัน หลายๆอย่าง เพลงแนวนี้เรายังไม่มีนโยบายจะโปรโมทบ้าง… อะไรบ้าง แม้แต่ที่รถไฟดนตรีนี้ ผมก็เคยเอามาเสนอแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งก็โอ.เค.แล้ว ถึงขนาดมีการ เป็นสัญญากันแล้ว แต่ก็มีปัญหาอีก”

© เพราะอะไร
“จะพูดว่าเป็นเพราะผมดื้อก็ได้ แต่จริงๆแล้วผมมีเหตุผลนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามผมเชื่อในความคิดของตัวเอง แต่ถ้าคุณมี เหตุผลที่ดีกว่ามาหักล้างผมก็ยอม คือตอนนั้นก็เลยหยุคไปสําหรับรถไฟดนตรี ผมก็เอาไปเสนออีกหลายที่ มาถึงบริษัทนึ่งตกลงกันแล้ว ทําไปทํามาเค้าพยายาม จะเปลี่ยนคาแรคเตอร์ผม เอาเพลงซึ่งเค้าให้คนอื่นทํามาให้ผมร้อง ถ้ามันดีผมไม่ว่าเลย แต่นี่มันไม่เข้ากับตัวผมเลย ผมก็เลยบอกไม่ทํา เพราะผมอยากหาเองมากกว่าด้วย เค้าก็บอก โอ.เค. ถ้ายังไง ตอนนี้คุณไปเคลียร์เรื่องสัญญาที่เคยทําไว้กับรถไฟดนตรีก่อน ผมก็เลยมาที่ รถไฟดนตรีเพื่อเคลียร์เรื่องนี้

© หมายความว่าก่อนหน้านี้ก็ยัง ไม่ได้เคลียร์กัน
“ตอนนั้นที่ยกเลิกกันไป ครั้งหนึ่งนั้นเรายกเลิกกันด้วยวาจา ผมบอกไปหาคุณระย้าก็ โอ.เค.ไม่ทําก็คือไม่ทํา ยกเลิกกันไป ไม่ได้ยึดถืออะไรกับสัญญาที่เคยทําไว้ ผมก็เล่าให้เค้าฟัง

ว่าตอนนี้ผมกําลังทําอะไรอยู่ เค้าก็บอกว่าเค้ากําลังคิดถึงผม อยู่พอดี ซึ่งผมรู้สึกแปลกใจและก็ ดีใจมากที่เค้ายังคิดถึงผม ทั้งๆที่ ผมเคยเดินออกจากที่นี้ไปแล้ว เค้าก็บอกว่าเค้าเสียดายนะ เพราะตอนนั้นทุกอย่างก็กําลังจะ ไปได้สวยแล้ว พอดีตอนนั้นผมทํา เพลงใหม่ขึ้นมาอีก 2 เพลง ผม ก็เอาให้เค้าฟัง เค้าก็บอก โอ.เค.นะ ถ้าคุณยังอยากหาคุณก็ มาได้

มาเรียบเรียงให้มันได้อารมณ์ ที่สุดเท่าที่จะทําได้ในตอนนั้น สําหรับเพลงชุดนี้ของผมโดย รวมๆแล้วเพลงจะเป็นร็อค ซึ่งที่เป็นแบบนี้ก็ไม่ได้ตามแบบ ใคร ผมไม่เคยคิดจะจัดกรอบให้ กับเพลงที่แต่งอยู่แล้ว แต่ผมเห็น ว่าดนตรีร็อคสามารถสื่อได้แรง และได้อารมณ์ที่สุด มันให้ความ รู้สึกเหมือนได้ทุ่มตัวเองลงไป ทั้งหมด”

“ส่วนศิลปินที่ผมชื่นชมที่สุด ก็คือจอห์น เลนนอน ผมว่าชีวิต ของเค้ายิ่งใหญ่ เค้าได้รับการ ยอมรับจากคนทั่วโลก ซึ่งผมคิด ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเค้า เป็นสิ่งที่เค้ากําหนด เค้าสร้าง เค้าวางชีวิตเค้าให้เป็นไปตาม ขั้นตอน ซึ่งผมคิดว่าน้อยคนจะกําหนดชีวิตตัวเองได้อย่างเค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ลึกลับ หรือการจบชีวิตลงด้วยการถูกฆาตกรรมก็ตาม ซึ่งสร้างความสะเทือนใจ ให้กับคนทั้งโลก เป็นตํานาน เล่าขานไปอีกนาน เรื่องราว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเค้า มันถึงอารมณ์ทุกอย่าง ทําให้ผม ชื่นชมเค้ามาก”

ดูย้อนกลับไปเรื่องเพลงที่แต่ง ในชุดนี้ มีเพลงไหนที่คุณรู้สึก พิเศษกับมันบ้างหรือเปล่า
“จริงๆแล้วผม่ให้ความสําคัญ กับทุกเพลง แต่ถ้าจะถามจริงๆ เพลง “ฉันแอบอยู่” มันเป็น ความรู้สึกที่ดีของผม เพราะมีคนๆหนึ่งเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ผมจึงแต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่อใช้วลีนี้ แทนความรู้สึกของผมที่มีต่อเค้า อาจจะเข้าใจยากนะสําหรับ เพลงนี้จะ

© คุณเป็นคนเข้าใจยาก หรือเปล่า
– “บางครั้งนะ.. คนที่อยู่ ใกล้ชิดผมเค้าก็ยังบอกไม่เข้าใจ – ผม ก็คงจะจริงมั้ง เพราะ

© เพลงที่เอามาทําคือเพลง ชุดเดิมทั้งหมดหรือเปล่า
“ผมทําขึ้นมาใหม่อีก 6 เพลง คือเพลง เกลียดกลางคืน ปีศาจ, หวง, รักพูดไม่เป็น ตัดใจ, ก็เท่านั้น แล้วดึงเพลง เก่าที่มีอยู่มา 4 เพลง ก็มี ทรมาน, ฉันแอบอยู่, มายาและ ไม่ได้มามือเปล่า ซึ่งเพลงที่ท้า ขึ้นมาใหม่นี้จะเปลี่ยนไปจากที่ผม เคยทํามากพอสมควร เพื่อว่าจะ ออกสู่ตลาดได้

© เพลงที่เขียนขึ้นเอาข้อมูล มาจากไหน
– “มาจากประสบการณ์ของผม เอง ทั้งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและ พบเห็นมาจากทั่วๆไป จาก เรื่องราวของเพื่อนบ้าง สิ่งที่อยู่ รอบๆตัวบ้าง”

© ลักษณะการเขียนเพลงของ คุณเป็นแบบไหน
คือจริงๆแล้วผมชอบที่จะใช้ สัญลักษณ์แทนสิ่งที่อยากจะพูดถึง มากกว่าจะใช้คําพูดบอกกันตรงๆ ซึ่งการเขียนเพลงแบบนี้อาจจะ ฟังยากเกินไปสําหรับบางคน ซึ่ง ผมคิดว่าถ้าผมมีประสบการณ์ มากกว่านี้ผมคงสามารถใช้ สัญลักษณ์พูดถึงโดยที่คนฟังทุกกลุ่ม สามารถเข้าใจได้ ผมหวังไว้ว่า ในอนาคตผมจะหาได้”

© นอกจากใช้สัญลักษณ์ในการ เขียนแล้ว เพลงที่คุณเขียนยังสื่ออะไรให้คนฟังอีกหรือเปล่า
“แน่นอน…เพลงที่ผมเขียนจะต้องสื่ออะไรให้คนฟังบ้าง ไม่มากก็น้อย ผมอยากจะพูดถึง เรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนในแง่ของปรัชญาว่าทุกคนสามารถที่จะพอใจในชีวิตของตัวเองได้โดยที่ ระดับความรู้แค่ไหนก็สามารถจะสร้างให้กับตัวเองได้ ผมอยากจะสื่อตรงนี้ให้มากที่สุด เพลงที่แต่งก็อยากจะให้คนย้อนนึกไปถึงตัวเอง รู้จักตัวเองให้มากๆ นี่คือจุดที่อยากจะสร้างมากที่สุด ในการทําเพลงให้คนฟังได้มองย้อนกลับมาหาตัวเองได้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง พื้นฐานจริงๆแล้วตัวเองเป็นคนยังไง ต้องการจะเป็นอะไรต่อไปใน อนาคต สิ่งเหล่านี้ถ้าคุณค้นหาเจอคุณก็จะรู้ว่านั้นคือตัวคุณเอง แต่คนส่วนใหญ่มักจะถูกปลูกฝัง เค้าอยากจะเป็นอะไรก็เพราะเค้าถูกปลูกฝังมาอย่างนั้น ซึ่งผมคิดว่าชีวิตเราเราน่าจะเลือกได้เองมากกว่า ซึ่งผมคิดว่าไอเดียนี้ของผมคงจะเป็นประโยชน์กับใครได้บ้าง

อาจจะมีเด็กชักคน ที่ตั้งใจอยากจะเป็นสถาปนิก มากเลย แต่องค์ประกอบหลายๆ อย่างอาจจะไม่เอื้ออํานวยให้เค้า เช่นไม่มีเงินทุน หรือ อะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าเค้ามั่นใจ เค้าก็สามารถค้นหาได้ว่าคุณสมบัติ ของสถาปนิกที่แท้จริงคืออะไร เค้าก็สามารถจะศึกษาเองได้ ไม่จําเป็นต้องไปเรียนในมหาวิทยาลัย ไปเรียนเองได้ ไปขอฝึกงานกับคนอื่น เค้าสามารถทําได้ถ้าเค้าตั้งใจจริง นี่แหละ คือสิ่งที่ผมอยากจะให้กับคนฟัง ซึ่งทุกเพลงที่ผมเขียนอาจจะ ไม่ใช่แบบนี้ แต่ผมยึดหลักนี้ใน การเขียนเพลง, การทํางาน ผมไม่ได้เป็นนักร้องเพราะ อยากดัง ผมทําเพลงนี้ผมเจอ อุปสรรคค่อนข้างสูงที่เดียว ผมต้องใช้ความพยายามมากกว่าจะได้ออกเทปชุดนี้มา เพราะฉะนั้น ถ้าผมมีอะไรที่สามารถถ่ายทอดให้คนฟังได้ผมก็อยากหา สําหรับเด็กรุ่นใหม่ทุกคนที่โตขึ้นมาให้ เค้ามีกําลังใจที่จะทําในสิ่งที่เค้าหวังตั้งใจให้สําเร็จ”

® คุณชอบฟังเพลงแนวไหนและชื่นชมศิลปินคนไหนเป็นพิเศษ หรือเปล่า
ผมเริ่มฟังเพลงสากลมา ตั้งแต่เด็กๆ มันเป็นความโชคดี ของผมที่คนรอบข้างฟังเพลง สากลมาก เพราะฉะนั้นแนว เพลงของผงส่วนใหญ่ก็จะได้แบบมาจากสากล แต่ไม่ได้หมายความว่าผมเอาทํานองเพลงนั้น เพลงนี้มาใส่นะ การแต่งเพลงของผม ผมจะแต่งตามกีตาร์แล้ว

หลายคนพูดแบบนี้ แต่ผมรู้จักตัวเองดีพอนะ คนทุกคนควรจะ รู้จักตัวเองให้มากๆ มากกว่ารู้จักคนอื่น เพราะพฤติกรรมของทุกคนย่อมแตกต่างกันออกไป “ฉัน” ในเพลง “ฉันแอบอยู่ เป็นสัญลักษณ์แทนพฤติกรรมหรือ เหตุการณ์ในอดีตที่คนเราควร มองย้อนกลับไป เพลงนี้เป็นเพลงในยุคแรกๆที่ผมหัดแต่ง และเป็นแรงบันดาลใจให้ผม อยากจะเขียนหนังสือด้วย”

© เพราะอะไรจึงอยากเขียนหนังสือ
“เพราะการจะสื่อสิ่งที่อยาก จะสื่อในเพลงมันยาก.. ยาก ต่อการเข้าใจของคนฟัง เพราะคนฟังต้องการฟังดนตรีเพื่อความบันเทิงซะส่วนใหญ่ ก็เลยอยากจะถ่ายทอดด้วยวิธีเขียนหนังสือ
และหนังสือของผมก็จะพูดถึงการ | มองตัวเอง เพราะผมเห็นว่าใน
ขณะที่คนเราพยายามที่จะศึกษา และรู้จักคนอื่นเนี่ย ในเรื่องของ ตัวเองเขากลับสับสน หนังสือของผมผมเลยอยากให้คนอ่านเข้าใจ และถามตัวเองว่า “เราเป็นคนอย่างไรนะ” เมื่อ ได้อ่านจบ ตอนนี้ก็เริ่มเขียนไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่ลงตัวเท่าที่ควร

© นอกจากเขียนหนังสือแล้ว อยากทําอะไรอีก
“ความหวังในชีวิตของผมที่ ผมจะต้องทําให้ได้มีอยู่ 3 ข้อ อย่างแรกคือผมต้องมีผลงานของตัวเองในด้านสร้างสรรค์อย่าง น้อย 1 อย่างซึ่งผมได้ทําแล้วคือ เทปชุดนี้ อย่างที่สองคือเดินทาง ให้มากที่สุดในโลกใบนี้ หมายถึง การไปประเทศต่างๆ คนเราเลือกเกิดไม่ได้และการที่เกิดมาเป็นชนชาติหนึ่ง โอกาสที่จะ เดินทางไปโน่นมานอย่างที่ใจปรารถนาเป็นเรื่องยาก ลําบากเพราะคิดเงื่อนไขระหว่างประเทศที่มนุษย์กําหนดขึ้นมามากมาย ผมก็เลยอยากมีอิสระที่ จะเดินทางไปไหนๆก็ได้ ไม่ใช่ ไปเพื่อเที่ยวนะ แต่เพื่อศึกษาสิ่งใหม่ๆและอย่างสุดท้ายคือการ ได้รักใครสักคนที่สามารถตาย แทนกันได้ และเค้าก็คิดอย่าง เดียวกัน ซึ่งข้อนี้เป็นเรื่องยาก

© สีที่คาดอยู่บนหน้าต้องการสื่อ อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
“สําหรับผม…มันเป็นการ เตือนตัวเองให้คิดถึงชีวิตที่ผ่านมา ผมต้องผ่านอุปสรรคขวากหนาม ความเจ็บปวดมามาก เพียงใดกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ซึ่ง ไม่ใช่มีแต่ผมหรอกที่ต้องสูญเสีย หลายสิ่งหลายอย่างไป มีคนใน โลกนี้อีกหลายคนที่ต้องเจอกับ อุปสรรคกว่าจะก้าวไปถึงจุดที่ หวังไว้ได้ ซึ่งผมก็ได้แต่หวังไว้ ว่าเค้าจะไม่ท้อเสียก่อน”

@ อยากจะบอกอะไรกับคนอ่าน …ทิ้งท้ายไว้ชักนิด 
“ครับ สําหรับผลงานชุด “ไม่ได้มามือเปล่า” นี้ผมก็หวัง ว่าหากมันจะมีสิ่งที่ดีอยู่บ้างก็ ขอให้เป็นตัวแทนของความเป็น ตัวของตัวเองและความปรารถนา ของคนที่มีพลังใจและไฟที่มุ่งมั่น ผมเชื่อว่าตราบใดที่ความคิด ของเรายังพัฒนาอยู่ สักวันหนึ่ง โอกาสก็จะเป็นของเรา อย่าให้ อุปสรรคและเวลามาทําร้ายหรือ ทําให้ไฟเราดับ หมั่นจุดไฟให้ตัวเอง อย่าท้อแท้ ต้องมีแน่ๆ วันของเรา..”

 

รู้จักปฐมพร ปฐมพร มากขึ้น

เคยเห็นจานบิน
เมื่อสมัยเด็กเขายืนอยู่ที่ ระเบียงบ้าน ขณะนั้นมีนกพิราบตัวหนึ่งซึ่งบินผ่านหน้าไปสายตาก็มองตามนกพิราบที่บินขึ้นฟ้า ก็พบกับวัตถุประหลาดสีเงิน ด้วยความตกใจก็รีบหันมาเรียก เพื่อนๆ พอหันไปอีกทีก็ไม่เห็นอีกแล้ว เหศการณ์นั้นทําให้เขาเริ่มมีความผูกพันกับจักรวาลและ วัตถุทรงกลม ซึ่งเขาเชื่อว่ามันต้องมีอะไรที่ผูกพันกับชีวิตมนุษย์อย่างแน่นอน แต่ยังไม่รู้ว่าอะไร ตอนนี้ ปฐมพรเขากําลังค้นหา..

เด็กแปลก ชอบสะสม พระเครื่อง
ตอนเด็กๆในขณะที่เพื่อน – รุ่นเดียวกันชอบสะสมแสตมป์และ ของเล่นอื่นๆ ปฐมพรกลับชอบ สะสมพระเครื่อง เขามีพระเครื่องมากมายเทียบเท่ามือ สะสมรุ่นใหญ่ ไปบ้านปู บ้านตา ก็คว้ามาหมดแถมยังห้อยอีก เต็มคอ แต่พอโตขึ้นมาหน่อย สัก ม.ศ.3 เขาก็เลิกสะสม และ เลิกห้อยพระมาจนถึงทุกวันนี้ พระที่เคยมีอยู่ก็ยกให้คนอื่นไปหมด ไม่สนอีกเลย เช่นเดียวกับเรื่องฟุตบอล

ประทับใจมากที่ครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองเป็นดารา
ในการแข่งขันฟุตบอลทีมอนุชนทางภาคตะวันออกในปีหนึ่ง ซึ่งมีทีมฟุตบอลดังๆของภาคเข้าแข่งขันมากมาย เริ่มที่เขาไม่คิดจะเล่นแต่เมื่อมีเหตุจําเป็นต้องลง กลายเป็นว่าเขาเป็นที่รู้จักของใครต่อใคร เป็นที่พูดถึง เป็นดาวซัลโวทำประตูได้มากมาย ทําให้ทีมได้ชนะเลิศ ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นดารา อะไรจะขนาดนั้นนะ ปฐมพร… เกือบจะติดทีมชาติ ถ้าไม่หลงเสน่ห์ดนตรีซะก่อน

ปฐมพรกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง มาเรียนในกรุงเทพด้วยจุดมุ่งหมายคือ มาเล่นฟุตบอลให้ทีมท่าเรือ เพื่อนเล่นกองหลังและ ปฐมพรเล่นกองหน้า แต่พอถูกเรียกตัวให้เข้าค่ายข้อมเขาก็เกิดเจอเสน่ห์ดนตรีซะก่อน ทิ้งไปเลยฟุตบงฟุตบอล ปล่อยให้เพื่อนที่มาด้วยกันติดทีมชาติไปคนเดียว ที่ละอนาคตที่เห็นชัดๆ สละสิทธิ์ในการเรียนฟรี พักฟรีที่มหาวิทยาลัยเสนอให้เพื่อเริ่มงานดนตรีที่ในขณะนั้น เขายังไม่รู้อนาคตด้วยซ้ำว่าจะเป็น อย่างไร ใจเด็ดจริงๆไอ้น้อง

ใช้กลองจริง และเล่นพร้อม กันทั้งวงในการบันทึกเสียง
ดนตรีในทุกวันนี้โดยทั่วไป จะใช้วิธีการใช้เครื่องอิเลคโทรนิคในการบันทึกเสียงกลอง และใช้การเล่นเครื่องดนตรีทีละชิ้นเข้าที่ละไลน์ แล้วจึงนํามามิกซ์เสียงในภายหลัง แต่สําหรับอัลบั้ม “ไม่ได้มามือเปล่า ปฐมพรใช้กลองจริงในการบันทึกเสียงและได้นําเพื่อนๆ นักดนตรีรุ่นเดียวกัน ยกวงทั้งวง มาเล่นเพื่อบันทึกเสียงพร้อมกันทั้งวง เพื่อต้องการเสียงดนตรีที่ “สด และมีชีวิตกว่า

 

เก็บประสบการณ์รายทางมาสร้างเป็นเพลง

รักพูดไม่เป็น
“สําหรับผม. เมื่อรักใครสักคน มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มาก.. มากเกินกว่าจะใช้คําว่า “รัก” เพียงคําเดียวมาบอกถึงความรู้สึกทั้งหมดได้ จึงดูเหมือนว่าผมพูดคํานี้ไม่เป็น ซึ่งเชื่อว่าคงมีอีกหลายๆคนที่เหมือนผม ก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างคําหวาน กับความจริงใจ แบบไหนจะเป็นที่ถูกใจกว่ากัน

หวง
“มีเพื่อนผู้หญิงหลายคนมาปรับทุกข์กับผมว่าแฟนหวงมาก ซึ่งแทนที่จะเป็นความรู้สึกที่ดีกลับกลายเป็นเรื่องนํารำคาญสําหรับเธอ ซึ่งผมเข้าใจนะว่าผู้ชาย “ทุกคนรู้ตัวเองว่าควรจะหวง แค่ไหนจึงจะพอดี แต่พอถึงเวลา จริงๆก็ทําไม่ได้ ที่เขียนเพลงนี้ขึ้นมาเพราะอยากจะบอกว่า หวงมากก็เพราะรักมากนะเอง

ปีศาจ
“ผมแต่งเพลงนี้โดยใช้สัญลักษณ์ แทนสิ่งต่างๆ “ปีศาจ” ในเพลงนี้ ไม่ใช่ผี แต่มันคือความชั่วร้ายที่เป็นความรู้สึกส่วนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวคนทุกคน ซึ่งในยามปกติ คนเราจะแสดงออกเฉพาะส่วนที่ดี แต่เมื่อไรที่ “ความมืด” ซึ่งหมายถึงเหตุการณ์เลวร้ายรอบตัว สิ่งไม่ดี เช่นหน้าบึง โกรธเกรี้ยว โมโห ก็จะถูกแสดงออกมา นั่นหมายถึงปีศาจ ในตัวเราออกมาอาละวาดแล้ว เพลงนี้ผมแต่งไว้ยาวมาก ในชุดนี้เป็นเพียงภาคเดียวเท่านั้น ถ้ามีโอกาสก็คงจะได้นําภาคต่อจากนี้มาเสนอต่อไป

ฉันแอบอยู่
ก่อนที่คุณจะหยิบเรื่องราวของผมมาอ่าน คุณตั้งใจจะทําอะไร ก่อนหน้านี้หรือเปล่า ความคิด เดิมนั้นยังคงอยู่ในใจคุณลึกๆ ใช่หรือไม่… ผมเชื่อว่ายังคงแอบอยู่ในใจคุณอย่างแน่นอน เพลงนี้ผมแต่งร่วมกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเคยรักกันมาก แต่ในสายตาของเธอวิถีชีวิตและภาพอนาคตของผมในตอนนั้นคงจะเลื่อนลอยและไม่สดใสนัก เธอจึงจากไปในที่สุด จนถึงวันนี้ “ฉันแอบอยู่ เป็นเพลงที่ผมรักมาก เพราะหมายถึงชีวิตของผม ที่มักจะมีเธออยู่ในความคํานึงเสมอ เหมือนเธอแอบอยู่ในใจ

ลอดเวลา มายา
จากการที่เข้ามาสัมผัสกับสังคมเมือง ซึ่งมีความเจริญทางวัตถุเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มันทําให้โลก เราแคบลงแต่คนกลับห่างไกลกันออกไป ขณะเดียวกันความจอมปลอมหลอกลวงก็คืบคลาน ใกล้ตัวเราเข้ามาทุกที รอยยิ้ม คําทักทายที่เคยมีให้กันไม่รู้มันหายไปไหนหมด สิ่งเหล่านี้ใช่มั้ยที่เป็น “มายา” อยู่ใน สังคมของเราทุกวันนี้

ทรมาน

“ปัญหาเรื่องยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ของวัยรุ่นในสังคมทุกมุมโลก ผมเขียนเพลงนี้ขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว จากการได้เห็นสภาพของคนที่ติดยาเสพติด ผมไม่กล่าวถึงโทษของยาเสพติดในเพลงนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนตระหนักดีอยู่แล้ว แต่จะพูดถึง – ความน่ากลัวกว่านั้น นั่นคือความรู้สึกของคนที่ตกเป็นทาสของมัน แต่พยายามจะหนี คนเหล่านั้นต้องผจญความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสเพียงใด

เกลียดกลางคืน

“แต่งจากความรู้สึกของเพื่อน สนิทคนหนึ่ง ซึ่งมีแฟนและอยู่ด้วยกันมาหลายปี วันหนึ่งเมื่อเธอจากไปทั้งๆที่ยังรักอยู่ เขาเกิดความรู้สึก “เกลียดกลางคืน” “ขึ้นมา เพราะเป็นช่วงเวลาที่ เราต้องกลับบ้าน..บ้านที่เคยมี เธออยู่ตรงนั้น ตรงนี้… ความทรงจําในอดีต ภาพความทรงจํา จะถูกรื้อฟื้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงอยากจะให้โลกนี้มีเฉพาะกลางวันที่เขาสามารถจะไปทํางานหรือพบความวุ่นวายที่ไหนสักแห่ง เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเจ็บปวดคนเดียวเหมือนเวลากลางคืน

ก็เท่านั้น

“ผมเอาเรื่องราวและความรู้สึก ของคนอื่นมาเขียนเป็นเพลงที่เยอะแล้ว จึงไม่แปลกนะครับถ้า จะรู้สึกปลื้มเมื่อมีใครเอาความเป็นตัวผมไปเขียนเป็นเพลงด้วยเหมือนกัน “ก็เท่านั้น” เป็นภาพสะท้อน ตัวผมในมุมมองของเพื่อนคนหนึ่ง เท่าที่ความเป็น “เพื่อน” จะทําให้เพื่อนสามารถถ่ายทอด ความเป็นตัวผมออกมาได้ เขาแต่งเพลงนี้ครึ่งเดียว ส่วนครึ่งสุดท้ายผมมาแต่งต่อเอง ตั้งแต่ “..มีตวงใจหนึ่งเดียวหากน้อยไป คงไม่กล้าให้ใครเขาครอบครอง ไม่อาจจํานรรจหรือจะ ร่ำร้องเปิดใจบอกใคร….”

ตัดใจ
“เมื่อคนสองคนไม่สามารถ อยู่ด้วยกันได้ก็น่าจะมีความ “เด็ดเดี่ยว” เด็ดขาดในการจากกัน ไม่ต้องเหลือความผูกพัน ให้ต้องมานั่งคิดถึงกันอีก แม้เราจะรู้สึกเสียดายวันเวลา ความรู้สึกดีๆที่เคยให้มีให้กันก็ตามเราก็ต้องเข้าใจยอมรับว่าเราอยู่ด้วยกันไม่ได้เพราะอะไร ความรู้สึก “เด็ดเดี่ยว” “เสียดาย” และสุดท้ายคือ  “เข้าใจ” คือความรู้สึก 3 แบบ ที่ถ่ายทอดความรู้สึกของหลายๆ คนไว้

ไม่ได้มามือเปล่า
“แม้ผมจะไม่ได้แต่งเพลงนี้ แต่ก็ชอบมาก และยอมรับว่าเป็น เพลงที่ลงตัวทั้งเนื้อหา ทํานอง ดนตรีและตัวผมเอง

จากนิตยสาร Starpics

ขอบพระคุณข้อมูลจากเพจ คุณแต้ว บอกอ MODEL

รางวัล “สีสัน อะวอร์ดส์” ครั้งที่ 13

เพลงยอดเยี่ยม

“ตบมือข้างเดียว” คำร้อง – สุทธิพงษ์ สมบัติจินดา, ทำนอง – วุฒิชัย สมบัติจินดา

เพลงในการบันทึกเสียงยอดเยี่ยม

“คน หุ่นยนต์ ต้นข้าว” คำร้อง – จักราวุธ แสวงผล, ทำนอง – บรูโน่ บรูกาโน่  และ จอห์น รัตนเวโรจน์, เรียบเรียง – บรูโน่ บรูกาโน่, ศิลปิน – จอห์น รัตนเวโรจน์

เพลงบรรเลงยอดเยี่ยม

“Tataku” – บอยไทย

เพลงร็อคยอดเยี่ยม

“ไม่ลองไม่รู้” คำร้อง – อัศวิน อิสระ, ทำนอง/เรียบเรียง – ชาญวุฒิ บุญแย้ม, ศิลปิน – จิระศักดิ์ ปานพุ่ม

โปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยม

จักรรินทร์ ดวงมณีรัตนชัย – “ถนนพระอาทิตย์”

อัลบั้มยอดเยี่ยม

“Project” – สุรสีห์ อิทธิกุล

อัลบั้มร็อคยอดเยี่ยม

“Mint” – ซิลลี่ ฟูลส์

ศิลปินชายร็อคยอดเยี่ยม

จิระศักดิ์ ปานพุ่ม – “Burn”

ศิลปินกลุ่มร็อคยอดเยี่ยม

ซิลลี่ ฟูลส์ – “Mint”

ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม

บรรจบ พลอินทร์ – “Job 2 DO”

ศิลปินชายเดี่ยวยอดเยี่ยม

สุรสีห์ อิทธิกุล – “Project”

ศิลปินหญิงเดี่ยวยอดเยี่ยม

เสาวลักษณ์ ลีละบุตร – “City Woman”

ศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม

เดอะซัน – “ถนนพระอาทิตย์”

 
[gallery_bank source_type=”gallery” id=”14″ layout_type=”masonry_layout” alignment=”left” lightbox_type=”no_lightbox” order_images_by=”sort_asc” sort_images_by=”sort_order” gallery_title=”show” gallery_description=”show” thumbnail_title=”show” thumbnail_description=”show” filters=”disable” lazy_load=”disable” search_box=”disable” order_by=”disable” columns=”4″ page_navigation=”disable” animation_effects=”fadeIn” special_effects=”none”][/gallery_bank]
 

คุยกับ จอห์น รัตนเวโรจน์

จอห์น  รัตนเวโรจน์

จาก nuvo ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด เมื่อกว่าสิบปีก่อน  เคยออกอัลบั้มเดี่ยวมาแล้วเมื่อปี 38  ช่วยเพื่อนเขียนเนื้อร้อง ในอัลบั้ม โจ + ก้อง Happening  และจากอัลบั้มทั้งสองชุดล่าสุดที่ออกมานี้  จอห์นได้กล่าวไว้ว่า  เป็นงานที่มีส่วนร่วมด้วยมากที่สุดตั้งแต่ทำงานเพลงมา

ไทยอัลบั้ม :  เป็นไงมาไงครับ  ทั้ง 2 ชุดนี้  ผมเห็นหายไปนานเหมือนกันในส่วนของงานเพลง  เห็นทำรายการ ie show อยู่  ก็น่าจะงานมากโขอยู่  แล้วยังเปิดบริษัททำเกี่ยวกับ internet อีก  ก็ยิ่งไม่น่าจะมีเวลา  แบ่งเวลากันยังไงครับถึงได้มีอัลบั้มออกมาให้เราได้ฟังกัน

จอห์น :  เคยมีคนบอกว่าวันหนึ่งมี 24 ชม. ให้นอนพักผ่อน 8 ชม.  ทำงาน 8 ชม.  แต่ไม่ได้หมายความว่า ความคิดของเราจะต้องเป็นไปตามนั้น ง่ายนิดเดียวถ้าคิดได้ก็ทำเลย แล้วอย่าหยุดคิด การแบ่งเวลาอยู่ ในใจของเราต่างหาก ทำไปเรื่อยๆ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่กาลเวลาแต่อยู่ที่ความสุขในการที่ได้ทำ internet  เป็นอุปกรณ์ช่วยเสริมให้การทำงานทั้งหมดของผมเป็นไปได้

ไทยอัลบั้ม :  เพลง  คน หุ่นยนต์ ต้นข้าว  ใครเป็นคนคิด คอนเส็ป

จอห์น :  ผมยก topic มาวางบนโต๊ะประชุมในสิ่งที่ผมปฎิบัติชีวิตตน ณ.ปัจจุบัน ในการเป็นคนที่เชื่อว่ามนุษย์ เทคโนโลยี และธรรมชาติต้องอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืน พี่ดี้(นิติพงษ์ ห่อนาค)จึงตั้ง concept  “คน หุ่นยนต์ ต้นข้าว”

ไทยอัลบั้ม :  มีใครมาช่วยเล่นดนตรีให้บ้างครับ

จอห์น :  คุณ Bruno ,คุณฟั่น เป็น  Producer  และ Co-Producer นักร้องรับเชิญคือ  คุณก้อง (นูโว) มาช่า และรุ่งสุริยา อัลบั้มนี้มีนักดนตรีร่วมแค่นี้

 

ไทยอัลบั้ม :  ระบบเสียงที่ว่าเนี่ย   มันยังไงครับ  เวลาที่เราทำการบันทึกเสียง  เราต้อง  แยก line ไว้เลยหรือป่าวครับ  ว่าจะเอา  line นี้ไว้ให้ออกลำโพงไหน  อะไรอย่างนี้อะครับ  แบบเหมือนหนังเค้าก็จะแยก line ไว้เลยว่า  เสียงนี้จะออกลำโพงไหนอะไรประมาณนี้อ่ะครับ  วานชี้แจงด้วย

จอห์น :  ระบบเรียกว่า Circle Surround สามารถจับลายเสียงไหนก็ได้ไปไว้ในตำแหน่งไหนก็ได้  ในลำโพง 5 ตัวรอบทิศทาง แต่การทำให้สมเหตุสมผล เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความสามารถมาก

ไทยอัลบั้ม :  Giraffe Record  เป็นไงมาไงครับ   จอห์น  ร่วมบริหารด้วยหรือป่าว

จอห์น :  Giraffe Records เป็นบริษัทที่ลอยอยู่กลางอากาศไว้สำหรับศิลปินที่ทำผลงานในรูปแบบ Experiment(ทดลอง) ผมเป็นศิลปินคนแรกไม่ได้เป็นผู้บริหาร

ไทยอัลบั้ม :  จอห์น  เข้าดูแลลึกถึงเรื่องเนื้อหาของแต่ละเพลงหรือป่าวครับ  (รวมถึงการทำดนตรี  การทำ- ทำนองและการเรียบเรียงด้วยนะครับ)

จอห์น :  เป็นอัลบั้มที่ร่วมงานด้วยมากที่สุดเท่าที่เคยมีอัลบั้มมา

ไทยอัลบั้ม :  เท่าที่ผมได้ฟัง  (เท่าที่มีน่ะครับ 3 เพลง)  รู้สึกว่า  โดนใจ  ทั้งในแง่ของตลาด  และในแง่ของดนตรีศิลปะ  ไม่ทราบว่า  จอห์น  รู้สึกว่าเพลงไหนในอัลบั้ม  ทั้ง สอง  ลงตัวมากที่สุด  แบบ  จอห์นชอบมากที่สุดหนะครับ  เพราะอะไร

จอห์น :  ในเชิงความคิดสร้างสรร ชอบเพลง Life Goes On และA Way Home ในภาษาไทย คือ เพลงคน หุ่นยนต์ ต้นข้าว และพึ่งพาอาศัย เนื่องจากมีความหมายที่สอดคล้องกัน ระหว่างเบอร์ที่ 1 กับเบอร์ที่ 10 เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสรุป  มีความเป็นอินเตอร์ไทย Worldmusic ผสม Pop  Rock ได้ลงตัว  ชอบเพลงเปลี่ยนกันไหม  และ Oasis โดนใจทุกครั้งที่ร้องคนฟังก็คิดเช่นกัน

ไทยอัลบั้ม :  นอกจากเพลงที่จอห์นชอบแล้ว   จอห์น  อยากแนะนำเพลงไหนเป็นพิเศษ  อีกหรือป่าวครับ  เป็นเพลงที่  จอห์นคิดว่าอยากนำเสนอ  แต่ไม่ได้เอาออกมาโปรโมทหนะครับ 

จอห์น :  เพลง Just Say,Don’t Say และStay Strong  ชอบมากรู้สึกว่าไม่แพ้เพลงสากลอื่นๆ ดนตรีหนักแน่นกระชับ ความหมายเบิกบาน

ไทยอัลบั้ม :  เสียงตอบกลับมาเป็นยังไงบ้าง  หลังจากชุดภาคภาษาอังกฤษ  กับภาคภาษาไทย  เสียงตอบรับ  แตกต่างกันยังไง

จอห์น : ในภาษาอังกฤษ จะได้รับเสียงชมเชยว่าโดยรวมทำออกมาได้ดีมากใช่เลย  แฟนเพลงไม่ผิดหวัง (คราวหน้าจะพยายามทำให้ดีกว่านี้) อัลบั้มเพลงไทยเมื่อเทียบกับชุดที่แล้วอาจจะฟังดูหลากหลายจนจับต้อง ไม่ค่อยได้แต่ก็แล้วแต่คนฟัง

ต้องลองไปหาฟังกันดูครับ  ว่าความกลมกลืนระหว่าง  pop rock กับ world music ที่มารวมตัวกันได้อย่างพอเหมาะพอดีนั้น  มันเป็นยังไง  

ยินดี ไม่มีปัญหา  :  ไทยอัลบั้ม

*ขอบคุณ  :  จอห์น ที่สละเวลาตอบคำถาม  และแรงใจ  ให้คนได้สร้างงานใหม่ๆ ที่ไม่ไร้สาระ

สัมภาษณ์ เจมส์ เรืองศักดิ์ ในอัลบั้มเจมส์เฟสติวัล

(เจมส์เปิดตัวทั้งร้องทั้งเต้นในเพลง…”เทศกาลคนเจ็บอก”)

พิธีกร : สวัสดีครับ

เจมส์ : สวัสดีครับผม

พิธีกร : สวัสดีพี่ๆสื่อมวลชนทุกท่านนะครับ และแล้วความสนุกสนานก็เริ่มต้นขึ้นแล้วนะครับ
เจมส์ : เหมือนกับออกอัลบั้มชุดแรกเลย

พิธีกร : หยั่งงั้นเลยนะครับ
เจมส์ : ตื่นเต้นมากเลยครับ

พิธีกร : ครับผม กับเจมส์ เฟสติวัล นะครับ
เจมส์ : ครับผม

พิธีกร : เป็นไงบ้างครับ วันนี้ตื่นเต้นมั๊ยครับ
เจมส์ : ตื่นเต้นมากเลยครับ

พิธีกร : ก่อนอื่นต้องถามก่อนละกันนะครับ จากชุดที่แล้วชุดที่ 4 กับเจมส์ เดลิเวอร์รี่นะครับ ห่างกับชุดนี้ประมาณถึงปีมั๊ยครับ
เจมส์ : ประมาณปีนึงพอดี

พิธีกร : มาวันนี้ต้องถามก่อนเลยนะครับว่า ที่มาที่ไปเป็นยังไงครับ
เจมส์ : เอ่อ เจมส์ เฟสติวัล ใช่มั๊ยครับ จริงๆแล้วมันก็มาจากว่า ตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกใช่มั๊ยครับ พวกเราทำงานกันเนี่ย เราจะมีการวางกันว่าชุดต่อไปเราจะโตมาเป็นยังไง

พิธีกร : ก็คือจากชุดแรกของเจมส์ คือชุด ได้เวลา…เจมส์ ก็จะมีพัฒนาการเรื่อยๆ แต่ว่าชุดนี้จะดูรีแล็กซ์ขึ้น
เจมส์ : ใช่ครับ คือเราอยากจะให้เป็นอะไรที่คึกคัก สามารถรวมคนได้เยอะมากๆ ก็เลยนึกถึงคำว่า “เทศกาล” ขึ้นมา ก็เลยกลายเป็นเจมส์ เฟสติวัล

พิธีกร : ตอนนี้นะฮะ ก็เหมือนจะเหงาเกินไป ต้องเรียนเชิญพี่ๆทีมงานที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของเจมส์มาพูดคุยด้วยแล้ว กันนะครับ
เจมส์ : ครับ

พิธีกร : เริ่มจาก พี่พู นะครับ สุทธิพงษ์ วัฒนจัง นะครับ รวมถึงพี่แบนนะครับ และสุดท้ายคือพี่หมูแว่น ครับผม
เจมส์ : ครับ สวัสดีครับ
พี่ชมพู : เอ่อ พี่ว่าเจมส์อย่ายืนเลยดีกว่าครับ

พิธีกร : ทำไมครับ
พี่ชมพู : เจมส์ยืนแล้วดูพี่ไม่ค่อยสูง
เจมส์ : (หัวเราะ) นึกว่าพี่พูจะไม่มานะครับเนี่ย
พี่ชมพู : มาครับ
เจมส์ : เห็นสัญญากันดิบดี พอถึงเวลานัดก็ยังไม่โผล่
พี่พู : ตื่นสายครับ ตื่นสาย เมื่อคืนทำงานดึกครับ
เจมส์ : อ้อ ครับ

พิธีกร : สวัสดีพี่ๆทั้ง 3 ท่านนะครับ ก่อนอื่นต้องถามเกี่ยวกับ…
พี่พู : เดี๋ยวก่อนๆๆ ส่วนตัวนิดนึง
พิธีกร : ทำไมครับ?
พี่พู : โดนตรงไหนครับ…

พิธีกร : โดนตรงไหน โดนตรงไหน โดนตรงใจครับ
พี่พู : อ้อ (หัวเราะ)

พิธีกร : ครับผม ถามถึงเพลงเปิดตัวแล้วกัน เพราะว่าพี่พูเป็นคนแต่งด้วย ที่มาของเพลงนี้ครับ หรือว่าแรงบันดาลใจ เป็นประสบการณ์ของตัวเองหรือเปล่าฮะ

พี่ พู : มาจากเจมส์ครับ คือก่อนทำงานเราก็คุยกันว่า เจมส์ ชุดนี้ เอ่อ อยากให้ตัวเองเป็นอะไร เพราะว่าทำงานเนี่ย ตัวศิลปินต้องเป็นหลัก ก็คือต้องถามเค้าว่า เฮ้ย อยากจะเป็นอะไร ว่ามีความคิดแบบไหน ช่วงที่ผ่านมาหนึ่งปีจากชุดที่แล้ว ประสบการณ์มีอะไรบ้าง อยากจะเล่าอะไร เจมส์เค้าก็บอก มาคุยกัน

พิธีกร : ก็คือ ต้องการนำเสนอความเป็นตัวเองมากที่สุด

พี่พู : ใช่ครับผม แล้วคำนี้ก็มาจากเจมส์ด้วย

พิธีกร : เฟสติวัล ?

พี่พู : ครับ ใช่ครับ

พิธีกร : เป็นไง มาไงครับ

เจมส์ : เฟสติวัล เหรอครับ ก็จริงๆแล้ว เอ่อ…เป็นการเก็งฮะ

พิธีกร : เป็นการเก็ง ?

เจมส์ : (หัวเราะ) เก็งว่า เออ ปีเนี่ยะ ผมคิดว่า มันเป็นปีที่เหมือนกับว่ามีการเตรียมงานเฉลิมฉลองค่อนข้างเยอะ ใช่มั๊ยครับ ก็เออ ฟังดูแล้วน่าจะเป็นคำที่ เอ่อ หลายๆคนจะนำมาใช้ในปีนี้น่ะครับ ก็เลยถือโอกาสนำมาใช้ก่อน

พิธีกร : พูดง่าย ก็คือเป็นการขึ้น ศหัสวรรษใหม่อย่างแท้จริง

เจมส์ : ครับผม

พี่ พู : คือว่า พอเจมส์มาคุยให้ฟังแล้ว ก็อยากจะใช้คอนเซ็ปท์ของอัลบั้มชุดนี้ว่า “เฟสติวัล” เฟสติวัล นี่จะ ผมได้ยินแล้วผมมีความรู้สึกว่า เหมือนกับเทศกาล ซึ่งมันก็แปลว่าเทศกาลอยู่แล้ว ใช่มั๊ยครับ ทีนี้พอกล่าวถึงเทศกาล ผมก็มีความรู้สึกว่า เออ เห็นด้วย เพราะว่าเก็งมาแล้วว่าช่วงนี้เป็นช่างเทศกาลจริง ก็เลยคิดว่า ดีดี เห็นด้วย แล้วก็พยายามที่จะดึงคำว่า เฟสติวัล เนี่ยมาใช้ในเพลง ลองหลายอย่างแล้วครับว่า เออ ใครมีความทุกข์นะ ก็เลยหากันไปหากันมา ก็เลยมีความรู้สึกว่า เอ้อ คนที่มีความทุกข์ ทุกเรื่องน่ะครับ เรื่องอื่นก็ได้น่ะครับ แต่มาดูเรื่องของความรักก็คือคนที่ผิดหวัง คนที่อกหัก ไม่มีใครเข้าใจได้ดีไปกว่าคนอกหักด้วยกันเอง

พิธีกร : นับว่าเป็นการรวมพล “คนเจ็บอก”

พี่พู : ใครไม่สนใจเรา ไม่เป็นไร ร้องเพลงดีกว่า

พิธีกร : อย่างนั้นเลยนะพี่นะ

พี่พู : ครับผม

พิธีกร : ครับผม แล้วก็ดนตรีครับ เป็นสไตล์ละตินด้วย

เจมส์ : จริงๆแล้ว ไม่ถึงกับลาตินครับ จริงๆแล้วก็มีกลิ่นนิดๆหน่อยๆฮะ จะออกแนวบราซิลเลี่ยนมากกว่า ก็คือ เรามองเฟสติวัล คิดถึงภาพขบวนรถบุบผชาติ (หัวเราะ)

พิธีกร : อย่างนั้นเลยนะ (หัวเราะ)

เจมส์ : ฮะ แล้วก็มีคนแต่งตัวสวยๆ มีแต่คนยิ้มแย้มน่ะครับ

พิธีกร : ซึ่งแน่นอนนะครับ เห็นได้จากดนตรีที่เปิดตัวไป อลังการมาก คนเยอะมากนะครับ ถ่ายทำที่ไหนครับ

เจมส์ : ถ่ายทำที่ เอ่อ โรงงานยาสูบเก่า ซึ่งบรรยากาศจริงๆมันก็จะเป็นโรงงาน แล้วเรื่องของสีสัน ก็ได้สีสันจากทีมงานของพวกเราเองน่ะครับ

พี่พู : เออ แล้วอีก 2 คนนี่มาทำไมเนี่ย (หัวเราะ)

เจมส์ : (หัวเราะ)

พิธีกร : เดี๋ยวได้ถามแน่ครับ (หัวเราะ)

พี่พู : อ้อ เดี๋ยวเค้าถามนะ รอแป๊ปนึง

เจมส์ : (หัวเราะ)

พิธีกร : คราวนี้มาถึง เพลง เพลงสนุกเปิดตัวไปแล้ว มาถึงเพลงช้าบ้าง ต้องถามคนแต่งแล้ว เพลงช้ารู้สึกจะแตกต่างจากชุดที่ผ่านมา ก็คือธรรมดาก็คือ ช้ำอยู่ธรรมดา แต่ชุดนี้ช้ำแล้วแช่งด้วย ฮืม.. “อีกหน่อยก็ทิ้งกันเอง”

พี่ หมูแว่น : เพลงช้านะครับ ไอเดียมันเกิดจาก เอ่อ ช้ำ เศร้า ฮืม แต่จริงๆแล้วเหตุการณ์อย่างเนี๊ยะ อีกด้านนึงมันอาจจะแบบไปทิ้งอีกฝ่ายมา คือมันเป็นความรู้สึกของคนที่ไม่ได้เคียดแค้นนะครับ แต่อารมณ์ตอนนั้นมันแบบคือทำใจรับไม่ได้ ถึงได้บอกว่า ก็คนใจง่ายน่ะ ไปรักกันน่ะ จะให้คิดยังไงล่ะ เดี๋ยวก็ต้องเลิก ไม่ต้องคิดก็รู้อยู่แล้ว ผมก็เลยได้ไอเดียมาจากตรงนี้ แล้วเจมส์ก็ถ่ายทอดได้ดี

พิธีกร : ซึ่ง ก๊อปปี้ หรือข้อมูลที่ได้มาก็คือ “แค่คนใจง่ายสองคน”

เจมส์ : ก็คนใจง่ายสองคน (เจมส์ร้องโชว์) ซึ่งจริงๆแล้วเนี่ย ผมก็คุยกับพี่หมูแว่น เพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่นะครับ ก็คือว่าเอ่อ ผมว่าเดี๋ยวนี้คนเป็นอย่างนี้เยอะนะครับ

พิธีกร : หมายถึงเลิกกันแล้ว ก็ไปทิ้งกันต่อ

เจมส์ : ครับ

พี่พู : อ๋อ คือช่วงนี้มันเป็นช่วงของการผลิใบนะฮะ (หัวเราะ) โฆษณาเพลง

เจมส์ : (หัวเราะ)

พิธีกร : ครับผม แล้วการถ่ายทอดของเจมส์ล่ะฮะ เพลงนี้ยากมั๊ย

เจมส์ : ก็ยากครับ

พิธีกร : เดี๋ยวก่อย แล้วเคยมีประสบการณ์เหมือนเพลงนี้มั๊ยครับ

เจมส์ : เอ่อ ยังไม่มีครับ ….อืม ที่มันยากก็เพราะว่า เพลงนี้เราจะร้องเพราะ เพราะเราอยากประชดประชันหรือเปล่า แต่จริงๆแล้วถ้ามองลึกๆไปแล้วเนี่ย อีกหน่อยก็ทิ้งกันเอง หนึ่ง..เราร้องแบบความรู้สึกที่เศร้ามากเลย จริงๆเราพูดออกไปเนี่ย มันเหมือนกับปลอบใจตัวเอง สอง..อาจจะมีแบบประชดประชันบ้างนิดนึง สาม..ก็คือเหมือนขู่แบบ เฮ้ย แน่ใจเหรอ เธอเลิกกะฉันไปรักกับเค้า แล้วเค้าก็ทิ้งคนมาคนนึงน๊ะ ไม่กลัวเหรอ ไรงี้

พี่พู : ตอนนี้เรายังมีอีกคนที่ยังไม่ได้พูด…

พิธีกร : อ่า ถามพี่แบนบ้างนะครับ การทำงานชุดนี้ของเจมส์ สัดส้วนของเพลงทั้งหมด 10 เพลง ช้า-เร็ว ยังไงครับ

——————————เงียบ————————–

พี่พู : อ่าว คุณก็แกล้งเค้าอีกละ เล่นคำถามยาก (หัวเราะ)

เจมส์ : (หัวเราะ)

พิธีกร : สัดส่วนของเพลงช้า-เพลงเร็วในอัลบั้มเป็นไงครับ

พี่แบน : ก็เร็ว 4 ช้า 5 กลาง 1

พิธีกร : ครับ มีเป็นสูตรเหมือนกันนะครับ แล้ว…

พี่พู : มีต้มยำมั๊ยฮะ

พิธีกร : (หัวเราะ) แล้วพูดถึงงานที่ผ่านมาของเจมส์นะครับ อย่างชุดที่ 3 ก็เป็น เจมส์เอฟเอ็ม เจมส์ก็ได้เขียนคำร้องด้วย คือ เพลงเธอ ใช่มั๊ยครับ

เจมส์ : ครับ

พิธีกร : แล้วอย่างอัลบั้มชุดที่แล้วนะครับ เจมส์ดิลิเวอร์รี่นี่ก็มี เพลงดิลิเวอร์รี่ แล้วก็เพลงเมล็ดพันธุ์ไม้ที่อ่อนแอ แล้วชุดนี้ล่ะฮะ เจมส์ได้มีการเขียนคำร้อง เขียนทำนอง หรือว่ายังไงบ้างเอ่ย

เจมส์ : ก็ มีเพลงที่ฟังง่ายๆน่ะครับ ชื่อเพลง “มีแต่เธอ” ก็จริงๆแล้ว อยากจะให้คนฟังเนี่ยเค้าฟังเพลง เพราะว่าเจมส์แต่ง…ฟังหน่อยสิ๊ อะไรอย่างนี้ จริงๆผมอยากให้มองเหมือนเป็นคนแต่งเพลงคนหนึ่งซึ่งมันอาจจะเก่งหรือไม่เก่ง ก็ไม่แน่ ลองฟังดูแล้วก็ติชมอย่าง..อย่างจริงๆเลย

พิธีกร : อยากรู้ว่าเพลง มีแต่เธอ นะครับ เจมส์ใช้นามปากกาอะไร มีอยู่ทางเดียวครับ ซื้อเทป ซีดี นะครับ แล้วที่สำคัญต้องเป็นของจริงด้วย ซีดีเถื่อน อย่า นะครับ เทปผี อย่านะครับ ช่วยกันต่อต้านนะครับ
พี่พู : ซื้อเทปผีเดี๋ยวมันหลอกเรา
เจมส์ : เค้าถือว่าเป็นการตัดทอน…
พี่พู : บรู๋ววววววววววววววววววว….
เจมส์ : (หัวเราะ)

พิธีกร : (หัวเราะ) หอนมาเลยนะครับเนี่ย
เจมส์ : ถือว่าเป็นการตัดทอนน้ำใจคนทำงานเพลงนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง

พิธีกร : ใช่ครับ
เจมส์ : คือต่อไปเนี่ยตอนนี้ยังซื้อได้…แต่ว่า
พิธีกร : อ้าว ไปบอกเค้าทำไมอ้ะ
เจมส์ : เอ่อ แต่ว่า อีก 3 ปี 5 ปี เนี่ย ก็จะไม่มีพวกเรา เพราะว่าเอ่อ การทำงานเนี่ยมันไปไม่ได้แน่นอน
พี่พู : ผมว่าเราเอาโต๊ะมาตั้ง แล้วเรามาคุยกันเรื่องเทปผี ซีดีเถื่อนกันดีกว่า

พิธีกร : (หัวเราะ) ครับผม คราวนี้เรามาถามถึงเรื่อง การทำงานบ้าง กับการทำงานกับเจมส์ พี่ชมพู เป็นไงครับ
พี่พู : ครับ ทำงานกับเจมส์ชุดนี้ ทำแล้วน้อยใจครับ

พิธีกร : ทำไมครับ
พี่พู : เจมส์หล่อกว่าผมครับ
เจมส์ : (หัวเราะ)
พี่พู : ทำงานกับเจมส์เนี่ยนะครับ เหนื่อยตรง…

พิธีกร : ตรงหล่อน้อยกว่า…?
พี่พู : (หัวเราะ) ไม่ใช่ อันนั้นทำใจได้ครับ แต่ว่าจะเหนื่อยตรงที่ว่าเค้าจะมีไอเดียมาเสนออยู่เรื่อยๆ เราก็ต้องคอยรับลูกมา แล้วก็มาคิดต่อว่า อะไรทำได้ อะไรควรทำ ไม่ควรทำ คือเหนื่อยตรงที่ว่าจะมีวัตถุดิบมาเยอะ เจมส์จะเป็นคนที่มีการบ้าน ทำการบ้านมา อย่างที่บอกนะครับว่าชุดที่แล้ว ดิลิเวอร์รี่ นี่ก็เจมส์ เจมส์เป็นคนคิดว่าน่าจะเอาคำนี้มาใช้เพราะเห็นว่า การที่มีดิลิเวอร์รี่ในเมืองไทยกำลังเป็นที่นิยม เป็นที่รู้จักกันดีนะครับ ก็อย่างชุดนี้ก็มี เฟสติวัล มา มีคอนเซ็ปท์อะไรมาหลายๆอย่างนะครับ เพราะงั้นเนี่ยในส่วนของการทำงานก็มีทั้งสนุกแล้วก็เหนื่อย แต่ว่ามันไม่ใช่เหนื่อยแบบเหนื่อยท้อ มันเป็นแบบเหนื่อยแล้วสนุก แล้วก็ขอชม เค้าทำการบ้าน แล้วก็มีความรับผิดชอบสูง ก็คงทราบกันดีอยู่แล้วน่ะฮะ สำหรับเจมส์ ไม่ต้องชมกันมาก เดี๋ยวจะลอย

พิธีกร : มาถึงพี่หมูแว่นครับ
พี่หมูแว่น : (ยกไมค์ขึ้นมากระแทกปากตัวเอง)
พี่พู : (หัวเราะ) ทำไม ทำไมต้องแกล้งเค้าขนาดนี้
พี่หมูแว่น : พี่พูเหยียบสายไมค์ผม

พิธีกร : พี่พูอย่าไปแกล้งเค้าดิ
พี่พู : เห็นๆ … เค้าบอกผมเหยียบสายไมค์ เค้าหยิบไมค์ขึ้นมาตีปากเอง แล้วก็บอกว่าผม (หัวเราะ)
เจมส์ : (หัวเราะ)

พิธีกร : ทำงานกับเจมส์ ในชุดนี้เป็นยังไงบ้างครับ
พี่หมูแว่น : ก็ เหมือนพี่พู น่ะครับ ก็ดีครับ เค้าเป็นคนมีความตั้งใจสูงครับ เอ่อ คือถ้าเค้าทำไปแล้ว ร้องไปแล้ว เค้ากลับไปนอนฟัง พรุ่งนี้มาอีกละ พี่ผมยังไม่ชอบ ผมขอร้องใหม่

พิธีกร : อ้าว
เจมส์ : ไม่ชอบครับ
พี่หมูแว่น : คือมันยังดีไม่พอครับ เค้ารู้สึกว่าเค้าต้องทำได้ดีกว่านี้ พวกผมก็เลย เหนื่อย
พี่พู : ผมก็เลยบอกเค้าว่า ตอนหลังเนี่ยนะ จนกระทั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เค้าบอก พี่ผมอยากแก้ไอ้นั่นนิดนึง ไอ้นี่หน่อย ผมบอก เอาอย่างนี้แล้วกันเจมส์ ไว้เกิดมีใครเค้าโทรมาที่บริษัท แล้วเค้าบอกยังไม่ชอบ เจมส์ค่อยอัดไปให้เค้าฟังที่บ้าน
เจมส์ : (หัวเราะ)
พี่พู : ทีละบ้าน ทีละบ้าน

พิธีกร : (หัวเราะ) อีกหน่อยก็โปรดิวซ์เอง นะฮะ มาถึงพี่ พี่แบน
พี่พู : พี่แบน นี่เป็นคนดีไซด์ดนตรี ตั้งแต่เริ่มต้นมาเราคุยกันว่า คำว่าเฟสติวัล เรานึกถึงอะไร ผมนึกถึงเทศกาล แล้วพอนึกถึงเทศกาล ก็จะไปนึกถึงพวกเทศกาลเกี่ยวกับบราซิลเลี่ยน พวกคานิวัล ของบราซิล มีความรู้สึกว่า มันให้ความรู้สึกคึกคัก สนุกสนานแล้วก็ แนวดนตรีก็น่าจะเอาอะไรบางอย่าง จากที่เป็นบราซิล หรือเป็นบราซิลเลี่ยนเนี่ยมาสร้าง ก็มาเป็นกลอง ตุ้ม ตะ ลุ่ม ตุ้ม ตุ้ม อะไรอย่างนี้ คุณแบนเป็นคนดีไซด์ดนตรีนะฮะ
เจมส์ : พี่พูตอบแทน (หัวเราะ)

พิธีกร : พี่แกล้งเค้านี่
พี่พู : ไม่ๆ คือบอกเค้าไง
เจมส์ : อ๋อ…
พี่พู : เค้าจะได้รู้

พิธีกร : เออ เน๊อะ (หัวเราะ) พี่แกล้งเค้านะเนี่ย มีการผ่านล่ามนะฮะ
เจมส์ : มีล่ามด้วย (หัวเราะ)
พี่แบน : จริงๆผมพูดไม่เก่ง ให้พี่พูพูดนะฮะ
พี่พู : พูดน้อยต่อยหนัก
พิธีกร : อ่ะ ถาม ถามความรู้สึกของพี่แบนฮะ
พี่แบน : ดีฮะ สนุก เศร้า

พิธีกร : มีเศร้าด้วย ?
พี่แบน : เวลาเพลงสนุกก็สนุกไปด้วย พอเพลงเศร้าก็เศร้าไปด้วยน่ะครับ

พิธีกร : อ๋อ ครับ … นี่คือบางส่วนนะครับ กับการทำงานที่ผ่านมากับพี่ชมพูนะครับ Executive Producer พี่หมูแว่นนะครับ ก็ตำแหน่ง Co – Producer แล้วก็พี่แบน ตำแหน่ง Producer สำหรับวันนี้คงต้องขอขอบคุณทั้ง 3 ท่านนะครับ พี่พู พี่แบน แล้วก็พี่หมูแว่นนะครับ พร้อมทั้งขอเสียงปรบมือเป็นกำลังใจให้เจมส์หน่อยครับ

เจมส์ : ครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณพี่ๆสื่อมวลชมทุกคนครับ สวัสดีแฟนๆทุกคนครับ ไม่มีเสียงกรี๊ด เสียงอะไรให้ผมเลยแม้แต่น้อยเลย ขอเสียงกรี๊ดหน่อยครับ…
——————————- กรี๊ดดดดดดดด ——————
เจมส์ : เอ่อ ค่อยหายตื่นเต้นหน่อย โอเคครับ เพลงนี้นะครับ ชื่อเพลงว่า กี่คำก็ไม่รัก นะครับ เป็นเพลงที่สามในอัลบั้มครับ เพลงนี้วันนี้ก็ได้พี่แบนมาช่วยเล่นเปียโนนะครับ
(เจมส์โชว์เพลง “กี่คำก็ไม่รัก” )

พิธีกร : ถือว่าเป็นเวอร์ชั่นพิเศษนะครับ เฉพาะวันนี้เท่านั้น วันดีเดย์ของเจมส์นะครับ ไม่ทราบเหมือนกันนะครับ ว่าใครกันที่ทำเจมส์ลง ด้านหน้าถ้าเจมส์บอกรัก จะรักตอบมั๊ยครับ…ทีนี้เรามาคุยกันต่อดีกว่า รู้สึกว่าวันนี้เจมส์จะเตรียมเพลงมาอีกหนึ่งเพลงด้วย
เจมส์ : ครับผม
พิธีกร : เดี๋ยวได้รู้แน่ เดี๋ยวได้ฟังแน่นะครับ พูดถึงเพลงช้าที่หลายคนคงจะชอบ นั่นคือเพลง

เจมส์ : อีกหน่อยก็ทิ้งกันเอง

พิธีกร : อีกหน่อยก็ทิ้งกันเองนะครับ มีคนแอบถามมานะครับว่า Mv. จะได้ชมเมื่อไหร่

เจมส์ : เอ่อ ตอนนี้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วครับผม

พิธีกร : ต้องถามก่อนแล้วกันนะครับ เกี่ยวกับ Mv. เพลงนี้แต่ก่อนถาม เรามาดูตัวอย่างกันก่อนนะครับ เอ่อ ขอภาพ วีทีอาร์ นะครับ ครับ ตัวอย่างมิวสิคฯเพลง อีกหน่อยก็ทิ้งกันเองครับ

——– เปิดวีทีอาร์ เพลงอีกหน่อยก็ทิ้งกันเอง ——— เสียงกรี๊ด …สนั่น…

พิธีกร : โอ้โฮ อลังการมาก เห็นแล้วขนลุกนะฮะ

————- เสียงกรี๊ด ดัง สนั่นอีกครั้ง ————

เจมส์ : ขอบคุณครับ

พิธีกร : ปกตินี่ ยืนคู่กัน ผมก็ด้อยอยู่แล้วนะครับ พอดูเจมส์ใส่ชุด เอ่อ เค้าเรียกชุดอะไร เอ่อ ชุดเครื่องแบบ

เจมส์ : ครับ เป็นชุด เอ่อ ทหารอากาศ ครับ นักบิน

พิธีกร : ครับผม หล่อโดนใจมั๊ยครับ (หล่อ) สุดยอดครับ

เจมส์ : ขอบคุณครับ (หัวเราะ)

พิธีกร : พูดถึง มิวสิกฯ เพลงนี้หน่อย ไปถ่ายทำที่ไหนครับ

เจมส์ : ก็ที่เดียวกับเพลง เทศกาลคนเจ็บอก นะครับ แต่ว่าด้วยฝีมือของทีมงานของ อาร์เอส. โปรโมชั่น สามารถเซ็ทจาก สถานที่ที่สนุกสนาน มาเป็นสงคราม ระเบิดกันตูมตาม ตูมตาม ข้างๆนะครับจะเป็นโรงเรียนนะครับ ข้างหลังเป็นวัดฮะ

พิธีกร : นะฮะ คงได้ติดตาม แล้วชมกันเร็วๆนี้นะฮะ

เจมส์ : ครับ คือมิวสิกฯตัวนี้เนี่ย จริงๆแล้วโดนผู้กำกับหลอกนะครับ ผู้กำกับบอกว่า เดี๋ยว จะมีระเบิดตรงนี้นะ ตรงนี้นะ ให้เจมส์วิ่ง อันนี้เราใช้ระเบิดจริงนะฮะ เค้าก็บอกว่า เล่นสีหน้าให้ดีนะ แววตานี่ต้องได้ ถ้าไม่ได้มีเท๊คนะครับ เราก็วิ่งมา หลบระเบิด ตู้ม ตู้ม ตู้ม พอมาเช็คเทปนะครับ เห็นผมตัวแค่เนี๊ยะ (หัวเราะ) ผมก็นึกว่าเห็นเต็มหน้า (หัวเราะ)

พิธีกร : ก็คือเป็น เบื้องหลังของการทำงาน

เจมส์ : แต่พอถ่ายทำเสร็จแล้วเนี่ย รู้สึก ภูมิใจครับ ตอนนี้ก็คือ อยากให้เพื่อนๆพี่ๆ น้องๆ ได้ชมกันนะครับ ซึ่งทั้งผู่กำกับเอง ก็เป็นผู้กำกับใหม่ ไฟแรงมาก เพิ่งจบมา แล้วก็นักร้องเองก็..เป็นนักร้องใหม่ (หัวเราะ)

พิธีกร : อย่างนั้นเลยนะครับ (หัวเราะ)

เจมส์ : (หัวเราะ) เพิ่งออกอัลบั้มแรก ก็ดีใจครับที่ได้ทำงาน แบบนี้

พิธีกร : ครับ ก็เตรียมตัวได้ชมแน่นอนนะครับ แต่ว่า ตอนนี้ก็อุ่นเครื่องได้กับการซื้อเทปนะครับ ไม่ใช่เทปปลอม ของแท้ ซีดีเถื่อน เทปผี ช่วยกันต่อต้านนะครับ

เจมส์ : ซื้อมาก็ไม่เซ็นต์ให้

พิธีกร : ครับ และนั่นคือ Mv. เพลงต่อไปนะครับ เพลงอีกหน่อยก็ทิ้งกันเอง จะไม่ใช้โชว์เพลงนี้ก็ยังไงอยู่นะครับ อยากฟังมั๊ยครับ (อยาก) โห เบาไปเน๊อะ เบาไปมั๊ย … อยากฟังมั๊ยครับ (อยาก) ขอเสียงปรบมือให้กับ อีกหน่อยก็ทิ้งกันเอง ครับ

เจมส์ โชว์เพลง อีกหน่อยก็ทิ้งกันเอง ท่ามกลางแฟนเพลง

เจมส์ : ขอบคุณครับ

พิธีกร : โอ้โห ถึงแม้จะเป็นเพลงเศร้านะครับ ก็แฝงด้วยความสุข เพราะว่าได้แช่งเค้า

เจมส์ : (หัวเราะ) เอ่อ ตั้งแต่เช้าถึงตอนนี้ยังไม่หายตื่นเต้นเลยนะครับเนี่ย ประหม่ามากเลยครับเนี่ย

พิธีกร : เพราะว่าเป็นศิลปินหน้าใหม่นี่ครับ

เจมส์ : (หัวเราะ)

พิธีกร : ก็เป็นธรรมดานะครับ (หัวเราะ) ทุกคนคงจะได้ข้อมูลแบบเต็มๆนะครับ แต่อยากเต็มกว่านี้ต้อง ซื้อเทป

เจมส์ : รู้สึกจะขายของบ่อยนะครับ (หัวเราะ)

พิธีกร : สำหรับวันนี้ก็คงจะ ให้เจมส์ฝากถึงผลงาน กับเจมส์ เฟสติวัล ครับ

เจมส์ : ครับผม ช่วงนี้ก็ เทปผี ซีดีเถื่อนมีเยอะนะครับ ก็ไม่มีใครช่วยได้ นอกจากพี่ๆสื่อมวลชนทุกคนนะครับ ยังไงก็เมตตาผมด้วยนะครับ (หัวเราะ) ก็ฝากผลงานเจมส์เฟสติวัล ให้กับทุกๆ คนนะครับ พี่ๆสื่อมวลชนนะครับ แล้วก็เพื่อนๆพี่ๆน้องๆตรงเนี๊ยะ เนี่ยนะครับ ที่ไปกันทุกงานเลย นะ อย่าลืมนะครับไปเจอกันงานคอนเสิร์ตนะครับ ชุดนี้เต็มที่ครับแล้วก็สบายๆกับทุกๆคนนะครับ ขอบคุณมากครับ

พิธีกร : ครับผม นี่คือ เจมส์ เฟสติวัล นะครับ ขอเสียงปรบมือให้กับเจมส์ ด้วยครับ วันนี้ขอบคุณมาก และสวัสดีครับ

เจมส์ : ครับ ขอบคุณครับ