ไกลบ้าน ชรินทร์ นันทนาคร

เนื้อเพลง ไกลบ้าน

คำร้อง : ชาลี อินทรวิจิตร
ทำนอง : สมาน กาญจนะผลิน
ชรินทร์ นันทนาคร

วิปโยคโศกใจ เหมือนเมื่อไกลบ้าน ไกลสถานพักพิง ยิ่งใจเหงา
ห่างไกลหัวใจจำเศร้า เจ้าอยู่ดีเป็นไฉน
พลัดที่พึ่งพี่พิงทิ้งพำนัก ไกลที่รักพักพาจะอาศัย
เจ้ามีเพื่อนชมคนใหม่ แล้วทิ้งพี่ให้ชอกช้ำชีวี
อันรักกันอยู่ไกล ถึงสุดขอบฟ้า
เหมือนชายคาเข้ามาเบียด ดูเสียดสี
อันชังกันนั้นใกล้สักองคุลี ก็เหมือนมีแนวป่ามาปิดบัง
เพราะไกลบ้านซ่านมา
โถนิจจาเจ้า จะเงียบเหงาแล้วลืม สิ้นความหลัง
ฝากเพียงเสียกระซิบสั่ง ขอน้องอย่าชังคนร้างแรมไกล

รวยรินกลิ่นความหลัง โดย ชาลี อินทรวิจิตร

ทุกอักษร ร้อยกรองมาจากหัวใจ เป็นบทเพลงที่เขียนให้เฉพาะเพื่อน
แง้มหน้าต่างความทรงจำอันรางเลือน เสมือนระฆังบอกโมงยามความเป็นเรา
รวยรินๆ หอมกลิ่นความหลัง ทำให้นึกถึงหรือบางทีอาจจะได้รวมเล่มเป็นที่ระลึก
สำหรับชีวิตของตัวเอง ก่อนที่ใบไม้สีเหลืองกร้านๆใบนี้จะปลิดปลิวไปตามกาลเวลา

ครับ! เพลงนี้ผมเขียนไว้อาลัยคุณ สุนทร สกลวัฒนา หรือที่เราเรียกถนัดปากว่า “ป้อมปราการ” นักเขียนจากที่ราบสูงเป็นคนอีสานโดยกำเนิด สังกัดน.ส.พ.ไทยรัฐ ได้รับความไว้วางใจ จากกกองบรรณาธิการให้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าข่าวบันเทิง ควบคู่กันไปกับตำแหน่งหัวหน้าข่าวกีฬา คือควบคุมดูแลทั้งหน้า 13 และหน้า 15 รับผิดชอบทั้ง 2 หน้า! แบบนี้ไม่ใช่คนธรรมดาหรอกครับผม

สมัยนั้นวงการกีฬาโลก โดยเฉพาะมวย ยักษ์ใหญ่แห่งวงการคือหนังสือ “เดอะริงค์” ของแน็ต แฟร็ทเชอร์ เป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุด ทุกครั้งที่เขาเหยียบแผ่นดินไทย ท่ามกลางนักข่าว รุมล้อมหน้าล้อมหลังเพื่อหาข่าว แต่คำแรกที่แน็ต แฟร็ทเชอร์ เอ่ยปากสวนคำถามนักข่าวคือ แวร์ อิส มิสเตอร์ป้อม นั้นหมายถึงว่า แน็ต แฟร็ทเชอร์ แกรักคุณสุนทร สกลวัฒนา หรือป้อมปราการของเรา เหมือนลูกชายคนหนึ่งของแก นี่คือความพิเศษของป้อมปราการ

แดดจัดพัดลมแรง อาจทำให้ป้อมปราการกลายเป็นใบไม้ที่หลุดจากขั้วปลิดปลิวไป ภัยมืดของชีวิตเขาคือโรคร้ายที่คอนเบียดเบียนกัดกร่อนร่างกายเขาทุกเวลานาที จนกว่ารถรางสายชีวิตของเขาจะจอดป้ายสุดท้าย เพราะแล่นต่อไปไม่ไหวแล้ว นั้นคือละครปิดฉากชีวิตของเขาก็จบ เปลวไฟในคืนหนาวคงเหลือเพียงเถ้าธุลี
มีอะไรที่โลกให้มาแล้ว ไม่เอากลับคืน

จำได้คืนนั้น รายการชรินทร์โชว์ จัดขึ้นเพื่อไว้อาลัยป้อมปราการโดยเฉพาะ ไม่เจาะจงว่าเป็นใครมาร่วมในรายการ แต่มิตร เพชราและดาราทั่วฟ้าเมืองไทย ต่างคนต่างแต่งชุดขาวดำมาในรายการเพื่อแสดงความรัก และอาลัยป้อมปราการเนืองแน่นสถานีโทรทัศน์

แม้แชมเปี้ยนโลกที่ยิ่งใหญ่อย่าง โผน กิ่งเพ็ชร อภิเดช ศิษย์หิรัญ จอมเตะบางนกแขวก แชมป์มวยไทย ก็ผุดลุกผุดนั่งที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ขาวดำ หน้าสลอน รอออกอากาศร่วมไว้อาลัย และแล้วไฮไลด์ช่วงสุดท้าย คืนนั้นคือเพลง”เพื่อนตาย” ชรินทร์ร้องเพลงนี้ทั้งน้ำตา เพลงเพื่อนตายแตะน้ำตาให้กับชีวิตของประชาชนผู้ฟังและดาราดดยทั่วกัน วันฌาปนกิจศพของเขา ไทยรัฐลงเนื้อเพลงเพื่อนตายในหน้า 13 ขบวนแห่ศพของเขา คุณเชื่อไหมยาวเป็นกิโล หัวขบวนมาถึงวัดสระเกศแล้ว แต่ท้ายขบวนยังอยู่ที่วัดตรีทศเทพ(สมัยนั้นที่วัดตรีทศเทพยังไม่มีเมรุเผาศพ)

ท่าฉลอม เพลงจากบ้านเกิดของ ชาลี อินทรวิจิตร

ลมหัวทะเล พัดฉ่ำระส่ำมาสู่ฝั่ง ตั้งแต่หัวค่ำคืนนั้น พื้นน้ำและระลอกขาวพร่างทะเล ความเย็นชื่นแผ่กระจาย ตั้งแต่หัวบ้านวัดช่องลมมาจนทั่วละแวกบ้านชายทะเลเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในหัวใจของผมไม่เว้นแม้แต่บริเวณที่ผมยืนอยู่ ก็แล้วทำไมผมต้องมายืนมาเดินบนถนนเหงาๆ ที่มีแสงไฟวอมแวมข้างทางสลัวๆ เงาดำบนพื้นถนนซึ่งทอดยาวขึ้นและดำมืดขึ้นทุกทีทุกทีเมื่อค่อนดึก แต่ไม่ว่าจะนานสักแค่ไหน จะมีรถจักรยานสามล้อผ่านไปผ่านมาสักคันก็ทั้งยาก

นี่หรือบ้านเกิดของผม กี่เดือนกี่ปีก็ทึบทึมอยู่อย่างนี้ คนละแวกบ้านผมทุกคนมุ่งแค่จะทำมาหากิน ไม่มีใครเลยที่จะเสียสละทุ่มเทพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวพักผ่อนตกปลา หรือกินอาหารทะเลสดๆในวันสุดสัปดาห์ ก็ใกล้แค่นี้เอง ใช่ “ท่าฉลอม” ใกล้แค่นี้เอง

“แต่มันไกลหัวใจแกมากใช่ไหมหง่า พี่ไม่เคยเห็นแกแต่งเพลงให้บ้านเราสักเพลงเลย ดีแต่ไปแต่งเพลงให้บ้านอื่นเมืองอื่น ทุ่งรวงทองงี้ แสนแสบงี้ กว๊านพะเยาเอย สาวนครชัยศรีเอย”

ผมทะลุกลางปล้องขึ้นทันที “อ้าวทำไมล่ะ ผมจะแต่งเพลงนี้ให้แฟนผมมั่งไม่ได้เหรอ ศรินทิพย์เขาเป็นสาวนครชัยศรีนะ”

“แล้วท่าฉลอมล่ะ มันเล็กมากใช่ไหม แกถึงแต่งไม่เป็น” พี่สาวผมว่า

“พี่อิจฉาเพลงน่ะซิ” ผมพูดเบาๆเปรยๆไม่ได้ตั้งใจ “ใช่ฉันขี้อิจฉา ก็ยังดีกว่าคนหัวใจป่าช้าหยั่งแก ไม่รู้คุณค่า ไม่รักแผ่นดินถิ่นเกิด เคยทำอะไรให้บ้านเราชื่นใจมั่งหรือเปล่าแกน่ะ”

เจ็บในน้ำคำ จำในใจจ๋อยๆ เห็นจักรยานสามล้อแล่นอ่อยๆอ๋อยๆไป ช่างหัวมัน ผมจะเดินซะอย่าง จะเมียงมองข้างทางให้เห็นแง่เห็นมุมที่จะเอามาเขียนเพลง เสียงพี่สาวยังก้องกังวานอยู่ในความรู้สึกลึกๆในใจผม

“ทำไม ท่าฉลอมมันเล็กมากใช่ไหม แกถึงแต่งไม่เป็น”

บ้านเกิดของผมกี่เดือนกี่ปีก็ยังไม่มีอะไรในกอไผ่ เคยเห็นยังไงก็เป็นยังงั้น ผมเดินจากบ้านมาไกลพอควร ถึงยังไงผมก็จะเดินไปให้สุดถนนที่ปลายสะพาน เรือกำลังจะออกจากท่าพอดี ผมทั้งวิ่งทั้งเดินก็ยังไม่ทัน ต้องหันกลับมานั่งรอ กว่าเรือจะกลับมารับ ก็คงไม่ต่ำกว่าครั้งชั่วโมงมั้ง เพราะกว่าคนจะขึ้นเรือจนเต็มจากฝั่งกระโน้นคงต้องใช้เวลา

ทะเลเป็นของโลก บางวันโศก บางวันเศร้า
ท่าฉลอมเป็นของเรา กำลังเหงาๆ พอดีเจอเฒ่าทะเล

ลุงคนนั้นแกเป็นนายท่าเรือ รูปร่างบึกบึน ผมหงอกจนเป็นสีขาวไปทั้งหัว ผมก็สนทนาปราศรัยไปตามเรื่องตามราว ไม่คิดว่าจะเจอเฒ่าทะเลตัวจริง

“มีเรือลำเดียวหรือครับลุง” ผมถามแก

“มีสองสามลำคุณ แต่กลางคืนมีแค่ลำเดียว” แกตอบ

“ผมต้องรอนานไหมเนี่ย”

“ก็จนกว่าคนจะเต็มเรือนั่นแหละ ถึงจะออกจากฝั่งโน้นมาฝั่งนี้”

“ลุงอยู่ท่าฉลอมมานานแล้วหรือครับ” ผมขยับเข้าไปใกล้แกอีกหน่อย ลุงแกมองผมอย่างไม่แน่ใจว่าผมจะเป็นชายประเภทสองหรือเปล่า เพราะหน้าตาผมก็ดูดี

“ผมเป็นน้องชายพี่สงวน เป็นหลานย่าเรียม ลือประเสริฐครับ” เท่านั้นแหละ ลุงแกก็เปลี่ยนเป็นคนละคนเลย จับเข่าคุยกับผมอย่างเป็นกันเองทันที

“ลุงเป็นชาวเล เรือประมงหาปลาทุกลำ ลุงเคยอยู่ เคยกิน เคยนอน เคยรอนแรมไปกับเรือหาปลา ดักลอบ กู้อวน แม่แต่เรือท่านเจ้าสัวพ่อคุณเรียม ลือประเสริฐ ที่มีเรือเป็นสิบๆลำก็ยังไว้ใจลุง” ผมชักสนใจเรื่องราวอันเกี่ยวกับบ้านผมและญาติๆของผม

“เล่าให้ผมฟังเถอะลุง อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับท่าฉลอมหรือเมืองมหาชัยของเรา” เฒ่าทะเลตัวจริงหยิบบุหรี่ใบที่ม้วนยาฝอยไว้เรียบร้อยจากกระป๋องขึ้นมาจุดไฟสูบ 2-3ครั้งประมาณนั้น นัยน์ตาก็เลื่อนลอยมองไปที่ฝั่งมหาชัยที่ม่านฟ้าดำมืดมีแต่ดาวระยิบระยับอยู่ไกลๆ

กระแสคลื่นอันคลุ้มคลั่ง หรือจะขลังเท่ามนต์แห่งความรัก ที่ใอ้หนุ่มผิวทองแดงเพิ่งจะรู้จักเริ่มจะริรัก ไหนจะมีปลาที่คัดแล้วว่าดีผูกติดเอวอยู่ 2-3 ตัว ไหนจะเอาเสื้อผ้าผูกเทินหัวไว้ไม่ให้เปียก แต่ความรักรอคอยอยู่ มันจึงว่ายตัดคลื่นปราดเปรียวเป็นฉลามกล้าไปสู่ฝั่งมหาชัย เพราะแม่พยอมหอมหัวใจ รอคอยอยู่แล้ว

“ก็เธอสวยใช่ไหมจ๊ะ…ทะเลจ๋า”

ชีวิตไอ้หนุ่มตังเก ดำเนินไปในความรักได้ไม่ช้าไม่นาน สาวพยอมก็ถูกพรากจากฝั่งมหาชัยไปเป็นดอกไม้ประดับหูชายอื่นเมืองอื่นเสียแล้ว ความรักของไอ้หนุ่มชาวเลเหมือนพายุผ่านไปชั่วแล่น ไม่เห็นหน แต่พี่ก็รักพยอมเหมือนรักทะเลนะ

ที่ต้องเห็นต้องทนอยู่ตลอดชาติ ชั่วลมหายใจ ผมก็ได้เพลงท่าฉลอมไว้ในท่อนหนึ่งว่า “พี่อยู่ไกลถึงท่าฉลอม แต่พี่ไม่ตรอมเพราะรักพยอมยามยาก” เศร้าซึมไปกับคำเล่าของลุง แต่ก็ต้องตื่นจากภวังค์ เมื่อระฆังเร่งให้คนลงเรือ เพราะเรือกำลังจะออกจากท่าเรือข้ามมาฝั่งท่าฉลอมตั้งนานแล้ว และคนกำลังจะเต็มจะข้ามกลับไปฝั่งมหาชัย

“เร็วคุณ เรือจะออกแล้ว”

ผมก็เร็วทันใจ วิ่งไปที่สะพานกระโจนแผล็วลงไปที่เรือ เรือเบนหัวออกจากฝั่งทันที แล้วก็นึกขึ้นมาได้รีบเดินหลีกคนมาทางท้ายเรือตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์

“ลุง ผมลืมถามไป ลุงชื่ออะไรนะ”

“บุญเย็น”

“ขอบใจ ผมจะเขียนเพลงจากชีวิตรักของลุงได้ไหม?”

“เพลงอาราย……?”

“ท่าฉลอม” เสียงสุดท้ายกลืนหายไปกับเสียงเครื่องยนต์

กว๊านพะเยา – เพลงจากสายน้ำ โดย ชาลี อินทรวิจิตร

ผมถูกหลอก ถูกโกหกคำโตมา 40 กว่าปี ว่า “กว๊านพะเยา”งดงาม สมเป็นสายน้ำธรรมชาติ เช่น แม่ปิง แม่วัง ยม น่าน ฟังเขาเล่าว่าน้ำใสยังกับตาตั๊กแตนดอกหญ้าพลิ้วไหว อยู่ริมฝั่ง หนุ่มสาวพลอดรักกันเป็นคู่ๆ สายน้ำไหลรินอยู่ชั่วนาตาปี อย่างนี้ทำไมเล่าผมจะไม่เคลิ้มคล้อย ยิ่งได้ยินคำกระแนะกระแหนว่าเขียน หรือแต่งยังไงเพลงกว๊านพะเยาก็คงดังเทียบเพลงเรือนแพ ที่ดังก่อนภาพยนตร์จะฉายเสียอีกไม่ได้ ผมถือว่าเป็นคำท้าทาย เรือนแพ ผมแต่งกับคุณสง่า อารัมภีร์ “กว๊านพะเยา” ฟ้าเป็นใจให้ผมแต่งกับคุณสมาน กาญจนะผลิน ผมประมาณในใจว่าต้องสู้ได้ ถ้ากว๊านพะเยา สวยสมคำบอกเล่าของชรินทร์ นันทนาคร และดอกดิน กัลยามาลย์จริง

“โอ้ธารสวรรค์ กว๊านพะเยา ธารรักเราครวญคร่ำ
ลมโชยพริ้วฉ่ำ ในวังน้ำวน พร่างพรมมนต์รักมา
ดูราวสายชล ธารสวยตระการ อยู่ในนิทรา
แว่วเพลงรัก ของปักษา ร้องอำลาคืนรัง”

ผมฝันมากไปหรือเปล่า วานท่านผู้อ่านคิดเอาเอง ผมเข้าใจว่า กว๊านพะเยา งดงามด้วยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของสายน้ำอันฉ่ำใสไร้มลพิษ ถ้ามีทำนองพิเศษอีก 8 ห้องเหมือนกับเพลงยุคใหม่ ผมอาจจะเขียนคำร้องเพิ่มเติมว่า ลำธารเล็กๆของกว๊านพะเยา จะคดเคี้ยวเลี้ยวลับ หายไปที่เส้นขอบฟ้า พัดพาเอาความชื่นฉ่ำ ความรัก ความอาทรเยื่อใยจากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ให้ผู้คนยิ้มกว้างเต็มแผ่นดิน

5 ปี ต่อมา จากวันที่แต่งให้ภาพยนตร์เรื่องนั้นของกัญญามาลย์ภาพยนตร์ไปแล้ว วันเวลานำพาชีวิตผมมาสัมผัสกับกว๊านพะเยาเข้าจริงๆ กว๊านพะเยาก็คือบึงกว้างใหญ่นั่นเอง ไม่มีน้ำไหลรินอย่างที่ผมเข้าใจ กว๊านพะเยาถูกปล่อยปละละเลยตามมีตามเกิด มีผักตบชวาซบน้ำอยู่เกลื่อนกลาด กลางบึงมีตาแก่คนหนึ่งกำลังลอยเรือตกปลายอยู่กลางแดดอย่างคนสู้โลก เป็นฉากหม่นในชีวิตที่ผมได้ใกล้ชิดกับกว๊านพะเยา โดยที่แอ่งกว้างๆแห่งกว๊านไม่รับรู้ใด ๆ กับบทเพลงของผมเลย

หลายคำในบทเพลงถูกเยาะเย้ยได้ แต่ความภูมิใจไม่มีใครหยามหยันได้หรอก บางถ้อยคำในเพลงเกินความเป็นจริง แต่ก็ยังเป็นบทเพลงอมตะที่หลายหลากคนยังร้องกันอยู่
กว๊านหรือบึงเกาะแก่งแอ่งน้ำไร้สายน้ำไหลก็จริง แต่จะกวาดฟ้าครามที่ลอยอยู่เหนือกว๊านหรือบึงออกได้หรือ จะห้ามดวงตะวันสีแดงที่ส่องประกายระยิบระยับ ตอนจะลาลับโลกโศกสลดในกว๊านอันกว้างใหญ่ได้หรือ

“โน่นทิวทุ่งลิบ รวงทิพย์ เรืองรอง ราวสีทองเปลวปลั่ง
ธาราไหลหลั่ง ใสราวน้ำวัง ขังน้ำตาแห่งดาว
ห้วงน้ำลึกนัก ห้วงรักลึกกว่าหลายเท่า
แม้นรัก มิจริงกับเรา อายกว๊านพะเยา หลายเท่าเอย”