ดอกไม้ป่า

สมาชิก
  • โชติมา ช่วงวิทย์ (ตุ้ม) เกิด 5 ตุลาคม พ.ศ. 2497 (68 ปี) (สมาชิกเริ่มต้น)
  • ปัทมา มนต์รังสี (อ้อม) เกิด 10 สิงหาคม พ.ศ. 2501 (64 ปี)
  • ประไพพรรณ สังขจันทร์ (หนุ่ย)
  • คณิตตา จิตต์เจริญ (อี้) เกิด 9 สิงหาคม พ.ศ. 2500 (65 ปี)

ทุยใจดำ (2525) (นิธิทัศน์)

คณะ ดอกไม้ป่า ชุด ทุยใจดำ

ทุยใจดำ
สิ้นเยื่อขาดใย
ชมไพรในฝัน
รักร้าง
ฝน
เมื่อวานนี้
ช้ำ
รักยามรวย
ชื่นชมสมรัก
เต็มใจรัก

ระบำยอดหญ้า (2526) (นิธิทัศน์)

ระบำยอดหญ้า
เพลงรักดอกไม้ป่า
ช่างเขาเถิด
อยากมีแฟนสวยต้องใจเย็นๆ
รักทรมาน
เต่ากับกระต่าย
สัตว์โลกผู้น่ารัก
สาวชนบท
หนาวลมขมรัก
มองให้เต็มตา

เดือนหงายใจเหงา (น้ำตาในสายฝน) (นิธิทัศน์)

  1. น้ำตาในสายฝน
  2. อยากมีแฟนสวยต้องใจเย็น
  3. บอกแล้วไง
  4. ปู
  5. ถอนใจไม่ขึ้น
  6. บ้านเรา
  7. สาวชนบท
  8. ช่างเขาเถิด
  9. นานแค่ไหนเอี้ยงจะคอย
  10. เดือนหงายใจเหงา

โธ่!ผู้ชาย (นิธิทัศน์)

โธ่!ผู้ชาย
ดวงตา
รักต้องเรียน
ผู้ชายใจดำ
ไฟสิ้นเชื้อ
พังพอนกับงู
ช่างร้ายนัก
ให้ฉันเป็นเพื่อนใจ
ฝัน
ความรัก

ปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว

อัลบั้ม ปั่น (พ.ศ. 2528) – ค่ายครีเอเทีย

ฝันที่หลุดลอย
สุดหัวใจ
รักนิรันดร์
กลับบ้านเรา
ฉันยังคอย
สัมพันธ์รัก
นี่แหละคน
เพ้อไปเอง
ความหลัง
พ่อ

อัลบั้ม ปั่น ปั่น (พ.ศ. 2529) – ค่ายครีเอเทีย

อยากรู้
ตาของเธอ
รักล้นใจ
ชีวิต
ร่มคันเดียว
สำเพ็ง
อีกครั้ง
สิ่งคู่กัน
รักยืนยง
ความในใจ

อัลบั้ม ปั่น ปั่น ปั่น (พ.ศ. 2530) – ค่ายครีเอเทีย

เฝ้าคอย
มีคนมากมาย
เก็บใจ
ลืมไม่ลง
ไม่จำเป็น
ทั้งปี
มีบ่อยครั้ง
หัวใจขาด
เพราะตามใจเธอ
บ๊องแบ๊ว

อัลบั้ม สนธยา (พ.ศ. 2532) ค่าย Marketing & Concept

  1. สนธยา
  2. ใครจะทนไหว
  3. อย่าห่วงอย่าอาวรณ์
  4. พฤติกรรม
  5. บุญน้อย
  6. สบตา
  7. จำใจจำทน
  8. แล้วให้ฉันทำยังไง
  9. อกเอ๋ย
  10. อยู่คนเดียว

อัลบั้ม พยัคฆ์ร้าย ศูนย์ ศูนย์ ปั่น (พ.ศ. 2534) – ค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่

เกรงใจกันหน่อย
น้องทำเกินไป
ขอไปด้วยคน
อย่าเก็บรัก
ฟ้าหาย
ทักกันทั้งซอย
นอนไม่หลับ
ไม่คุ้ม
ปีนไปไม่ถึง
พี่มันผิดเอง
  • อัลบั้ม บอกรัก (พ.ศ. 2536) – ค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
  1. ขอโทษ
  2. ต่างใจเดียวกัน
  3. จะบีบก็ตาย
  4. ครั้งหนึ่ง
  5. ขอเป็นเพียงเพื่อน
  6. ส่องกระจก
  7. บอกรัก
  8. คน..คนเดียว
  9. ส่วนเกิน
  10. ให้โอกาส
  • 2540 : ดอกไม้และก้อนหิน – ค่าย Oh! My God
  1. ดอกไม้และก้อนหิน
  2. รักเธอที่สุด
  3. เธอผู้เดียว
  4. มีเพียงแต่เธอ
  5. รู้แล้ว
  6. ทั้งหมดเท่าไร
  7. A Tu Corazon (สู่ใจกลางเธอ)
  8. คนรักกันไม่ทำอย่างนี้
  9. ว่างเปล่า
  10. มีเพียงแต่เธอ
  • 2542 : Go On – ค่าย Oh! My God
  1. รักเธอมากกว่าใคร
  2. คนอย่างฉัน
  3. มอง
  4. คนขี้หึง
  5. จดหมายรัก
  6. เป็นเพราะเขา
  7. รอ
  8. อยาก
  9. GO…ON
  • 2544 : Be Cool – ค่ายแกรมมี่
  1. รักก็เจ็บ เลิกก็เจ็บ
  2. Mi Corazon (My Heart)
  3. ไม่เป็นไร
  4. จูบแรก
  5. อยู่เพื่อเธอ
  6. มายาชีวิต

กว่าจะมาเป็น… “บิ๊ก” ดีทูบี

วันแรกที่เขาแถลงข่าวเปิดตัววงบอยแบนด์ ดีทูบี แหม่มน้ำตาซึมด้วยความปลื้มใจที่เห็นเด็กกะโปโล 3 คน แปลงกายมาเป็นหนุ่มหล่อมีแฟนเพลงมากรี๊ดกันเต็มห้อง…แหม่มไม่ได้เห็นภาพอย่างนี้มานานแล้ว เพลงของเขาเพราะจริงๆ การแสดงบนเวทียอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับอายุและความสามารถของพวกเขาในตอนนั้น

แต่จะมีใครสักกี่คนที่ทราบว่ากว่าเด็กหนุ่มหน้าตาสดใส 3 คนนี้จะก้าวขึ้นมาสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมบนเวที พวกเขาก็เป็นเพียงเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง

สำหรับบิ๊ก…จากวันแรกที่เขาก้าวเข้ามา บิ๊กเป็นเด็กหูเพี้ยน เสียงร้องหลงคีย์ไปมา จนเขามีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีอย่างไม่น่าเชื่อ วันนี้…เขากลายมาเป็นนักร้องเสียงหล่อ ร้องคีย์ตรงเป๊ะได้นี่แหม่มก็ปลื้มใจจะแย่แล้ว …

ไหนยังจะบีม…คนที่เคยร้องเพลงเสียงแบนๆ ท่าทางเก้งก้าง ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นบีมผู้มั่นใจ ( ขึ้น ) ร้องเพลงเพราะขึ้น

และแดน…ที่เคยเก๊กจนเรากวนตากวนใจ กลายมาเป็นศูนย์กลางของวงที่แข็งขันทั้งเรื่องการร้องและท่าทางการแสดงออก ทั้งที่แดนเด็กที่สุด
แต่นี้สำหรับความรู้สึกของครูก็ปลื้มใจแล้วค่ะ

แหม่มมีความหวังว่าเขาจะยิ่งแข็งแรงขึ้น รอบจัดขึ้นเมื่อผ่านงานไปสักระยะหนึ่ง และเขาจะต้องกลายเป็นศิลปินกลุ่มที่ดังมากแน่ๆ แหม่มก็แค่คิดแค่ปลื้มของแหม่มไปตามประสาคุณครูผู้รักเด็กไปตามเรื่องตามราว ไม่คิดว่าเขาจะดังขึ้นมาจริงๆ…

เริ่มจากเด็กวัยรุ่นรู้จักและคลั่งไคล้ดีทูบีอย่างแรง จนผู้ใหญ่ต้องหันมามองดูกันไปด้วยว่าไอ้เจ้าวง ดีทูบี นี่เป็นใคร ทำไมเด็กๆ ถึงคลั่งกันนัก แล้ว ดีทูบี ก็ดังทั่วบ้านทั่วเมือง…ภายในเวลาไม่นาน
แหม่มก็เลยต้องติดตามไปดูแลพวกเขาอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อดังมาก ความคาดหวังของคนดูก็มากตาม ดีทูบีจะพลาดไม่ได้เมื่อขึ้นเวที หรือไปที่ไหนก็ตาม เพราะดังและเป็นที่รู้จักมากพอที่จะเรียกว่าเป็น ซูเปอร์สตาร์ แหม่มและทีมงานจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลเขาอย่างดีที่สุด ดูแลในทุกจุดที่ไปทำงานก็ว่าได้

คอนเสิร์ตแรกที่เขาขึ้นไปแสดง เด็กสามคนสั่น ประหม่า จนสติแตก ลืมสคริปท์ ลืมบทพูด ลืมเนื้อเพลง แม้จะรู้ดีว่า…ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอในงานแสดงสด แต่แหม่มก็อดที่จะเกร็งไปพร้อมกับพวกเขาไม่ได้ และต้องคอยช่วยเขาแก้ไขปัญหาให้ผ่านตรงนั้นไปด้วยดี ไม่อย่างนั้นหัวขาดฮ่ะ คือไม่ได้โดนใครมาฆ่าตัดหัวแต่อย่างใด แต่การโดนเจ้านายด่าก็เป็นเรื่องชวนสยอง ให้รู้สึกว่าหัวจะหลุดจากบ่าได้เหมือนกัน ซึ่งทั้งครูทั้งศิษย์ก็กอดคอกันผ่านช่วงช็อกวัดใจกันมาได้ทุกงาน ดีบ้าง แย่บ้างแล้วแต่สถานการณ์
ถึง LIVE CONCERT นี่อะไรมันจะเกิดขึ้นได้แต่แหม่มก็จะคอยเตือนสติให้พวกเขาทำให้ได้ดีอย่างตอนซ้อม และอย่าตื่นคนดูจนทำให้สติแตก ทำอะไรหลุดไปหมด…เท่านั้นเอง ทุกครั้งก่อนจะขึ้นเวทีใหญ่ๆ ทั้งสามคนจะมาไหว้และกอดแหม่มคนละทีทุกครั้ง และทุกครั้งแหม่มก็จะบอกให้เขาทำให้ดี มีสติ จนเมื่อเขาเก่งขึ้น ประสบการณ์มากขึ้นจนเรียกได้ว่าไม่มีความตื่นเต้นแบบช่วงแรกๆ ที่มักจะทำให้พลาดในเรื่องที่ไม่ควรพลาดแล้ว แหม่มก็ดูพวกเขาด้วยความสบายใจขึ้น ไม่เครียดจนปวดท้องเหมือนก่อน ซึ่งอาการนี้ไม่ได้มีแต่กับดีทูบี แต่จะเป็นกับศิษย์ทุกคนทุกกลุ่มที่สอนมา โดยเฉพาะตอนออกงานครั้งแรกๆ ในฐานะศิลปินใหม่

ทุกวันนี้แหม่มก็ยังเครียดอยู่ เพราะฉะนั้นใครคิดว่าทำงานแบบดิฉันสบายขอเชิญมา…ท้าพิสูจน์ได้เลย

หนึ่งปีครึ่งที่ ดีทูบี ออกเทปและกลายมาเป็นศิลปินวัยรุ่นที่ดังมากๆ มีงานกันทุกวันวันละหลายๆ งาน สามคนนี้ก็ค่อยๆ หายไปจากชีวิตแหม่ม หายไปแบบว่า…เขามีงานต้องทำ มีสังคมให้รู้จัก มีเพื่อน พี่น้องใหม่ๆ ให้ทำงานด้วย ไม่ได้มีแค่คุณครูไหวใจดีอย่างพวกเรา แต่ทุกครั้งที่เขามีเวลาและนึกถึงเรา เขาจะกลับมาหาทุกครั้งและยังคงเป็นเด็กสามคนที่เราคุ้นเคยไม่เปลี่ยนแปลง ความดังไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนนิสัยไปเลย แต่ทำให้เวลาที่เขาเคยมีหายไป และนานๆ เราถึงจะได้เจอกันที ซึ่งแหม่มก็ภูมิใจค่ะที่เห็นเขาได้ดีและดีใจทุกครั้งที่เด็กๆ ที่เราเคยสอนกลับมาหา บางทีแหม่มยุ่งๆ ก็ไม่มีเวลาคุยกับเขาเหมือนกัน ก็ใช้วิธีโทร.คุยกันแทน

จนคอนเสิร์ตสุดท้ายที่แหม่มได้ไปดูแลเขาตามหน้าที่ประมาณเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ประจำปีของเขาอีกเช่นกัน เรายังคุยแหย่กันเหมือนเคย เพียงแต่แหม่มเหนื่อยน้อยลงเพราะเขาเก่งแล้ว แค่ไปดูวันซ้อมใหญ่กับวันแสดงจริงเท่านั้น ไม่ต้องไปอยู่ด้วยกันทุกวันก่อนขึ้นคอนเสิร์ตแบบช่วงแรกๆ ดีทูบี วันนั้นเก่งและร้องเพลงดีกันทุกคน ใครที่ชอบว่าบอยแบนด์ไทยลิปซิงค์ขอแก้ความใหม่นะคะ ดีทูบี ไม่ได้ลิปซิงค์เลย ยกเว้นเพลงเร็วๆ ที่ต้องมีเต้นหรือมีภาคของการโชว์แค่เพลงสองเพลง ซึ่งบางครั้งร้องสดแล้วมันมากวนกับระบบการโชว์บนเวที ก็ต้องทำเป็นโชว์ไปซึ่งเขาก็จะร้องกันสดก่อนขึ้นเวทีจริงทุกครั้งไม่ได้เปิดเทปแล้วอ้าปากตาม

วันนั้น เขายังมากอดแหม่มเหมือนเดิม บิ๊กเองวิ่งมาอุ้มตัวลอยจนแหม่มเขกหัวไปว่าฉันเจ็บ และฉันแก่แล้วกระดูกกระเดี้ยวมันจะหักเอา ไปมันเขี้ยวกับแฟนเพลงบนเวทีโน่น บิ๊กก็ยังหัวเราะสะใจที่ได้แกล้งครูไปมา แล้วก็วิ่งไปขึ้นเวทีทำหน้าที่ศิลปินของเขาไป

แหม่มรู้สึกว่า…วันนั้นเป็นวันที่บิ๊กร้องเพลงได้เพราะที่สุด โดยเฉพาะเพลง ตะเกียงของหัวใจ ซึ่งร้องยากมาก เขาอยากร้องเพลงนี้เพราะอยากให้ทุกคนเห็นว่าบิ๊กร้องเพลงเก่งจริงๆนะ ไม่ใช่หล่ออย่างเดียว ซึ่งเขาทุ่มเทตั้งใจกับการร้องเพลงนี้มาก ตอนแหม่มไปแอบยืนดูปะปนกับคนดูทั่วไปยังน้ำตาซึม ( อีกแล้ว ) ที่พอจบเพลงนี้คนกรี๊ดกันกระหึ่มและปรบมือให้แบบรู้เลยว่าชื่นชมอย่างจริงใจ สองคนที่นั่งด้านหน้าแหม่มลุกขึ้นยืนปรบมือให้อย่างสุดตัวพร้อมกับพูดว่าร้องดีจริงๆ อย่างนี้ประกวดก็ชนะ

แหม่มได้ยินแล้วก็ภูมิใจแทนบิ๊กมาก อยากบอกเขาว่าหนูทำได้แล้ว หนูเป็นนักร้องที่ดีจนคนดูเขาชื่นชมได้ด้วยตัวเองจริงๆ แต่ก็ยังไม่ได้บอกเสียทีจนคอนเสิร์ตจบ แยกย้ายกันกลับบ้าน แล้วงานอันมากมายของ ดีทูบี ก็ทำให้เราห่างกันไปอีก

จนวันที่ 21 กรกฎาคม 2546…วันนั้นเกิดอะไรขึ้นแหม่มคงไม่ต้องเล่า เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นทั้งประเทศก็ทราบข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องบิ๊กรถคว่ำแต่รอดปลอดภัยดี แค่พักรักษาตัวสักระยะก็คงหาย…น้องๆ ที่บริษัทไปเยี่ยมกลับมาเล่าอาการว่า…น้ำเข้าปอดแต่ปลอดภัยดีแล้ว เข้าใจว่าคงต้องพักฟื้นให้ปอดดีขึ้นสัก 2 อาทิตย์ แหม่มทราบข่าวก็สบายใจที่เขาปลอดภัย ตั้งใจว่าให้เขานอนพักสัก 3 – 4 วัน ค่อยไปเยี่ยม จนวันที่ 4 ที่ 5 โน่นแน่ะค่ะ แหม่มถึงมีโอกาสได้ไปเยี่ยมบิ๊กที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแรกที่ดูแลบิ๊กหลังเกิดอุบัติเหตุ ที่ตลกคือบนหัวเตียงบิ๊กเป็นเตียงเดียวในห้อง ICU ที่มีป้ายชื่อโรงพยาบาลแขวนอยู่แผ่นเบ้อเริ่ม ความคันของแหม่มก็เลยบังเกิด แอบไปเดินดูเตียงอื่นๆ เขาก็ไม่เห็นมีป้ายแขวน ขำก็ขำแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรกลัวหมอเขาหมั่นไส้
แหม…ไม่ได้ว่าอะไร จะชมว่าประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล ทำงานเป็นเยี่ยมเท่านั้นเองค่ะ

กลับมาที่อาการของบิ๊กต่อ บิ๊กวันนั้นดูสดใสขึ้น แต่ดวงตายังมีแววอิดโรย เพราะยังมีไข้อยู่เล็กน้อยตลอดเวลา แต่พอเห็นหน้าแหม่มเจ้าลูกศิษย์ตัวดีก็ยังทำหน้าทะเล้นใส่เหมือนเดิม ทั้งที่ยังพูดไม่ได้ เพราะหมอเขายังไม่ให้ถอดท่อต่างๆ ที่เสียบปาก เสียบจมูกอยู่ ก็ได้แต่จับมือให้กำลังใจกัน แหม่มยังแซวบิ๊กว่าสาวๆ ที่บริษัทมาเยี่ยมกันตรึม แต่บิ๊กดันหลับ พอคนแก่อย่างครูมาเยี่ยมกลับตื่น เป็นยังไงเห็นหน้าฉันชื่นใจกว่าสาวๆ ไหม

บิ๊กทำหน้าเซ็งๆ ใส่ แต่พูดไม่ได้ แล้วก็สำลักเสมหะตัวเอง ตอนแรกก็ดูเหมือนคนไอธรรมดา สักพักเริ่มมากขึ้นจนต้องกดออดเรียกพยาบาล คราวนี้คุณพยาบาลวิ่งเอาสายยางมาเสียบลงไปในท่อที่อยู่ในปากบิ๊ก เข้าใจว่าลึกพอควรเพราะบิ๊กมีอาการเกร็งเหมือนเจ็บ แหม่มยืนซีดสนิทอยู่ตรงนั้น เพราะสงสารบิ๊กแต่ช่วยอะไรไม่ได้

จนพยาบาลดูดเสมหะหมดจากปอดบิ๊กจึงค่อยสบายขึ้น แต่ท่าทางเหนื่อยและเจ็บจนแหม่มพูดไม่ออกเลย ที่ตั้งใจว่าจะคุยเล่นก็เลยต้องลากลับ เพราะสงสาร อยากให้เขาพักมากๆ ความที่เห็นว่ายังป่วยอยู่ เลยไม่อยากไปรบกวนแต่ก็สบายใจที่ ทั้งหมอ ทั้งคุณพ่อเองก็บอกว่าบิ๊กปลอดภัยแล้ว อีกสักอาทิตย์ถ้าปอดแข็งแรงแล้วก็คงออกมาพักห้องธรรมดาได้ ก็คิดว่าเอาไว้วันนั้นแหม่มจะไปเยี่ยมเขาอีกครั้ง

แหม่มไม่ได้เฉลียวใจสักนิดว่า วันนั้นเป็นวันที่แหม่มจะพบบิ๊กในสภาพที่มีสติสัมปชัญญะเป็นครั้งสุดท้าย ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตสะเทือนใจในเวลาต่อมา…

สิ่งที่เราทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นหลังจากที่แหม่มได้พบบิ๊กครั้งนั้น บิ๊กเป็นไข้เรื้อรัง ถึงแม้ว่าปอดจะดีขึ้นแต่อาการปวดศีรษะไม่ทุเลา ทางบริษัทอาร์.เอส.ฯ ที่ดูแลเรื่องการรักษากับคุณพ่อของบิ๊กจึงตัดสินใจเอาบิ๊กย้ายไปอยู่โรงพยาบาลวิชัยยุทธแทน เพื่อให้แพทย์เฉพาะทางตรวจละเอียดอีกครั้ง แล้วข่าวที่ออกมาช่วงเย็นวันจันทร์ ประมาณต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นข่าวภายในรู้กันเฉพาะผู้บริหารอาร์.เอสฯ และพนักงานบางส่วนของบริษัทว่าบิ๊กอาการไม่ดีเพราะตรวจพบเชื้อราเข้ากระแสเลือดและไปเติบโตที่สมอง ทำให้เป็นฝีกดทับสมอง อาจจะต้องผ่าตัดซึ่งก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าผ่าแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะฝีที่โตอยู่ในกะโหลกบิ๊กตอนนั้นก็อันตรายอยู่แล้ว

แหม่มทราบข่าวถึงกับช็อก บรรดาน้องๆ ที่ทำงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นครูที่เคยสอนร้องเพลงให้บิ๊กก็เครียดกันเป็นแถว เพราะเรารู้ว่าการผ่าตัดสมองนั้นอันตรายมาก ได้แต่เช็คข่าวกันวุ่นวาย แหม่มจึงตัดสินใจโทร.ไปหาคนที่ดูแลบิ๊กที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นคนของบริษัทส่งไป ก็ได้ความว่าน้องทานข้าวต้มอยู่ ยังรู้สึกใจชื้นว่าถ้ายังทานได้คงไม่เป็นไรมาก แต่ก็ไม่ได้คุยกับบิ๊กเพราะไม่อยากรบกวนได้แต่ฝากบอกไปว่าเป็นห่วงและขอให้หายเร็วๆ

คำขอของแหม่มไร้ผลค่ะ เพราะรุ่งขึ้นก็มีข่าวหมอเชิญผู้บริหารบริษัท พร้อมคุณพ่อพบด่วน เพื่อตัดสินใจผ่าตัด เพราะฝีโตทับก้านสมองแล้วจะอันตรายมาก แล้วบิ๊กก็ปวดหัวทุรนทุรายขึ้นเรื่อยๆ จนช็อค หมอจึงเร่งทำการผ่าตัดกันก่อนเวลาที่กำหนด วันนั้นทุกคนที่บริษัทนั่งรอฟังข่าวกันด้วยใจที่เศร้ามาก เพราะมันไม่น่าจะกลายมาเป็นแบบนี้ คนที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุขนาดนั้นแล้ว ดูว่าจะหายวันหายคืนกลับมาเจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรก็ไม่รู้ สงสารทั้งบิ๊กที่ต้องเจ็บ สงสารพ่อแม่ที่มีลูกคนเดียว คงทรมานใจยิ่งกว่าเราร้อยเท่า สงสารคุณหมอที่ต้องทำงานภายใต้ความเครียด เพราะคนทั้งประเทศสนใจใคร่รู้ นักข่าวก็ประชิดติดตัวทุกที่ทุกเวลา ขนาดตอนที่เข็นรถบิ๊กออกจากห้องผ่าตัด ยังมีบางคนที่เอาขาขัดเตียงไว้เพื่อไม่ให้คนเข็นไปได้ ตัวเองจะได้ถ่ายรูปสะดวกๆ พอพวกน้องๆ พี.อาร์.ของบริษัททักท้วงยังตอบกลับมาแบบไร้ใจ ไร้คุณธรรมว่า

“ชีวิตดาราก็แบบนี้ละน้อง”

แล้วเขาก็ถ่ายรูปต่อไปอย่างไม่ยี่หระต่อความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อแม่ ไม่ให้เกียรติบิ๊กซึ่งไร้สติอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีกับคนพวกนี้ค่ะ เซ็ง…

หลังจากวันผ่าตัด แหม่มและเพื่อนๆ ที่ทำงานก็ไปที่โรงพยาบาลเอง เพื่อดับความกระวนกระวายที่มีอยู่แล้วทำให้ทำงานไม่ค่อยรู้เรื่องกัน ถึงรู้ว่าไปแล้วทำอะไรไม่ได้ก็ยังอยากจะไป อย่างน้อยก็ไปนั่งเป็นเพื่อนคุณพ่อ คุณแม่ ดีกว่าให้ท่านเปิดโทรทัศน์ดูข่าวบิ๊กซึ่งมีแต่ภาพและข้อสรุปที่รุนแรงขึ้นทุกวัน โดยปกติแหม่มเป็นคนไม่เคยทำอะไรโดยไร้จุดหมาย แต่วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ไปนั่งที่โรงพยาบาลโดยไม่รู้ว่าไปทำไม แล้วจะนั่งอยู่อีกนานแค่ไหน คุยก็ไม่อยากคุย ร้องไห้ก็ไม่ควร เพราะจะยิ่งทำให้ใจเสียกันเข้าไปอีก แถมยังมีคนรู้จักที่ไม่ได้อยู่อาร์.เอส.ฯ โทร.เข้ามาถามตลอดเวลา
ที่ทำให้รู้สึกแย่มากๆ คือคำถามที่ว่า “บิ๊กตายหรือยัง?” โอย…รับไม่ได้จริงๆ โมโหหนักเข้าเลยปิดโทรศัพท์เสียเลย เพราะกลัวจะตอบอะไรแรงๆ ออกไป

แหม่มนั่งซึมอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่กับเพื่อนๆ และน้องๆ ศิลปินบางคนอย่าง ปาน ธนพร นาธาน โอมาน และคนอื่นๆ อีกมากจนดึก เราจึงต้องกลับบ้าน หิวก็ไม่หิว ถึงหิวก็คงกินอะไรไม่ลง นอนก็ไม่หลับ ไม่นอนก็ไม่ได้ เปิดทีวีช่องไหนก็มีแต่ข่าวบิ๊ก สามีแหม่มเองก็ยังซึมไปด้วย เพราะสมัยที่บิ๊กยังไม่ดัง เป็นนักเรียนร้องเพลงที่แผนกอยู่ แหม่มก็รับมาส่งบ้านซึ่งอยู่ทางเดียวกัน บางทีพามาทานข้าวที่บ้านเพราะลูกศิษย์หิว พี่หนึ่ง สามีแหม่มเขาก็จะรู้จักและได้พูดคุยกับบิ๊ก สองคนนี้เขามีเรื่องโปรดเหมือนกันคือบ้าหนัง สะสมโปสเตอร์หรือโมเดลจากหนังเหมือนกัน ก็เลยคุยกันรู้เรื่องทั้งที่วัยต่างกัน ยังมีการพาทัวร์บ้านดูของสะสมของพี่หนึ่งกันเป็นที่สนุกสนาน

เรียกว่า…คนที่เคยรู้จักจะชอบบิ๊กทุกคน เพราะอัธยาศัยน่ารัก เข้าผู้ใหญ่ เป็นของบิ๊กนั่นล่ะค่ะที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเขา ไม่แปลกใจเลยเมื่อบิ๊กเป็นศิลปิน ดีทูบี แล้ว คนทั้งบ้านทั้งเมืองโดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นจึงรักบิ๊กกันมากขนาดนั้น

แหม่มได้แต่หวังว่าอีก 2 – 3 วันบิ๊กน่าจะฟื้น ฟื้นแล้วจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน ก่อนนอนก็สวดมนต์และส่งใจไปถึงบิ๊กว่า บอกเขาว่า…”ตื่นได้แล้ว อย่าไปเที่ยวนานนัก ทุกคนเป็นห่วง.…”

ขอบคุณบทความเก่าจาก พี่แหม่ม พัชริดา

สันติภาพสัญจร : ตัวโน้ตสากลบนเส้นทางแหลมทอง

สันติภาพสัญจร : ตัวโน้ตสากลบนเส้นทางแหลมทอง

ข่าวจากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน 5 สิงหาคม 2528

ระหว่าง 5 สค.-18 สค. คาราวาน พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ มาซาโตะ โทททโมเบะ และ ยูโซะ โทโยดะ จะร่วมกันตระเวณทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศใสชื่อ ” สันติภาพ สัญจร ”

สุรชัย จันทิมาธร ที่ตั้งชื่อแบบนี้ก็เพื่อสานต่อโครงการปีสันติภาพ แต่จริงตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะมีคอนเสิร์ตอย่างนี้ ตั้งใจตั้งแต่ไปอยู่ญี่ปุ่น ” สุรชัย จันทิมาธรเล่าความตั้งใจให้ฟังและอธิบายเหตุผลของการนำนักดนตรีญี่ปุ่นร่วมการแสดงครั้งนี้ว่า ” พวกนี้เป็นคนที่รู้จักเมื่อไปประเทศญี่ปุ่น อยากมาเมืองไทย อยากร้องเพลงให้คนไทยฟัง ”

“ไปครั้งนี้ทุกการแสดงจะเก็บค่าดู 30 บาท ไม่คุ้มหรอกนะ ตั้งตัวแบบไทยๆเอาเป็นค่าเช่ารถ เช่าเครื่องเสียง แล้วแต่ละคนอาจไม่ได้อะไรเลยก็ได้ เล่นแบบไม่มีค่าตัว ขอเพียงแต่ไม่ต้องควักกระเป๋ากัน จากนั้นถึงไม่ได้เงิน ก็ได้ประสบการณ์ที่จะแลกเปลี่ยนระหว่างกัน

หากสังเกตดูรายชื่อสถานที่แสดง คงสะดุดตาว่าล้วนเป็นสถานการศึกษาระดับสูง ยกเว้นวันที่ 18 สค. วันเดียวเท่านั้นที่จัดการแสดงที่โรงแรมวังคำ ซึ่งเหตุผลของสุรชัย จันทิมาธร มีว่า ตามจริงทั้ง ยูโซ่ และเรา อยากเล่นให้ระดับชาวบ้านฟังฟรีๆ แต่เราทำให้อย่างนั้นไม่ได้ ไม่มีทุน และชาวบ้านอาจไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงเอาคน ญี่ปุ่นมาร้องเพลงให้ฟัง เมืองไทยไม่ใช่เมืองนอก ก็คิดว่ากลุ่มนักศึกษาจะเป็นกลุ่มที่ฟังเหมาะสมที่สุด

“ทั้งคนไทยคนญี่ปุ่นที่มาคราวนี้ ไม่ได้มาร้องอย่างต้องการทำธุรกิจ แต่เอาธุรกิจมาทำให้การดำเนินการเป็นไปได้ ” ยูโซ่ โทโยดะ

“สำหรับการเดินทางครั้งนี้เพื่อมาพบสันติภาพเป็นสันติภาพระหว่างผมกับคาราวาน ปีที่แล้ว….ครั้งที่แล้ว คาราวานไปญี่ปุ่น ตามคำเชิญของรัฐบาลญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นครั้งนี้เราต้องมาประเทศไทย ต่างกันที่ว่าเรามาเป็นการส่วนตัว มากันเองเพราะประทับใจ คาราวาน มาก ตามความรู้สึกของผมเขาเป็นเหมือนเดอะโรลลิ่งสโตนที่เดียว

” เรื่องของเพลงไทยเพลงญี่ปุ่นคล้ายกันในแง่จะมีบริษัทใหญ่ๆทำเพลงออกมาเพื่อขาย แต่ผมกับโทโมเบะทำเพลงออกมาจากตัวเราเอง

” ถ้าให้เทียบคนไทยกับคนญี่ปุ่น คนไทยดีกว่าญี่ปุ่นเพราะคนญี่ปุ่นทำงานหนักเพื่อเก็บเงิน ในขณะที่สภาพครอบครัวประสบปัญหาแตกร้าว หย่าร้างมากขึ้น แต่คนไทยอยู่เป็นครอบครัวอบอุ่น”

“ผมไม่คิดว่าทุกวันนี้เรามีสันติภาพ หากบางทีวันหน้าอาจเป็นได้ว่าเราจะมีสันติภาพถ้าทุกคนคบกันด้วยความจริงใจ ถ้าต้องการสันติภาพจริงๆ เพราะสันติภาพจะมาได้จากประชาชนไม่ใช่รัฐบาล ถ้าประชาชนต่อสู้ก็จะได้สันติภาพ แต่ต้องไม่มีนิวเคลียร์

มาซาโอะ โทโมเบะ

” ประทับใจ คาราวานมาก ฟังเพลงของคาราวานแล้วประทับใจก็เลยอยากให้คนไทยได้ฟังเพลงญี่ปุ่นบ้าง กับเมืองไทยก่อนจะมารู้สึกว่าคงจะอึดอัดเพราะนักการเมืองมีอำนาจมาก แต่ภายใต้อำนาจนั้น…..เมื่อมาดูในฐานะนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชั่วคราวก็รู้สึกว่าคนไทยอยู่สบายๆ

เดินทางมาครั้งนี้สิ่งที่อยากได้คืออยากคบเพื่อนที่เดินทางไปด้วยกันให้สนิท ไม่อยากได้อะไรไปกว่านั้นเพราะไม่ได้เอาอะไรมาจากญี่ปุ่นก็คงไม่เอาอะไรกลับไปญี่ปุ่น

 

 

 

พันธ์ทิพย์ เสกโลโซ ปกแดง

3 หนุ่ม โลโซ ตอกย้ำวงการเพลงร็อกด้วยอัลบั้มใหม่ โลโซ ปกแดง ที่นำทีมโดย เสก โลโซ ( เสกสรรค์ ศุขพิมาย ) , รัฐ โลโซ ( อภิรัฐ สุขจิตร์ ) และ ใหญ่ โลโซ ( กิตติศักดิ์ โคตรคำ ) กับงานเพลงภายใต้สังกัด ” มอร์ มิวสิค ” ในเครือ
แกรมมี่ฯ

ชุดนี้แค่ชื่อก็สามารถบอก ถึงความแตกต่าง และความหมายลึก ๆ ที่ซ่อนเร้นแฝงไว้ ในเนื้อเพลงแต่ละเพลงไม่ว่าจะเป็นเพลง พันธ์ทิพย์ เพลงรักกุ๊กกิ๊กที่คู่รักมัก จะชวนคนรักไปเดินเที่ยวตามห้างสรรพสินค้า และเพลงนี้ทั้งจังหวะดนตรี และเนื้อร้องก็สนุกสนาน บอกถึงความเป็น ” โลโซ ” อย่างแท้จริง

เสก เผยความรู้สึกเกี่ยวกับผลงานชุดใหม่

” โลโซ ปกแดง จริง ๆ แล้วผมต้องการจะสื่อ ให้แฟนเพลงได้รับรู้ว่า มันไม่ไหวแล้วนะ ไม่ว่าจะเป็นเทปผี ซีดีเถื่อน หรือ ยาเสพติด ฯลฯ ที่ตอนนี้มันคุกคามหนักขึ้นเหลือเกิน แต่ผมก็ไม่ได้เขียนเพลงเหล่านี้ต่อว่าใคร เพียงแต่อยากจะปลุกจิตสำนึก ถ้าทุก ๆ คนช่วยกันไอ้สิ่งเหล่านี้ ก็จะไม่มีทางเจริญเติบโตได้ขนาดนี้ ทุกอัลบั้มของโลโซ จะมีเพลงประเภทนี้อยู่ตลอด เพื่อเป็นสาระในการฟังเพลงบ้างไม่ใช่จะมีแต่เพลงรัก อย่างเดียว อย่างชุดแรกของผมเลย ก็มีเพลงที่พูดถึง ” เอดส์ ” มาถึงชุดใหม่นี้ ผมอาจจะเน้นจุดบางจุดหนักขึ้น แต่ผมก็แฝงความหมายเหล่านั้นไว้ในเนื้อเพลง ที่ฟังแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะต้อง ” เครียด ” ไปด้วย อย่างเพลงที่เกี่ยวกับยาเสพติดนี้ ผมก็แต่งออกมาเป็นทำนอง น่ารัก น่ารักจังหวะสนุก ๆ ถ้าฟังแล้วคิดตาม ไปด้วยก็จะเข้าใจครับ ”

เพลง พันธ์ทิพย์ นี้ก็เป็นเพลงแรกที่ถูกนำมาทำเป็นมิวสิควิดีโอที่มีบรรยากาศสนุก ๆ พร้อมเรื่องราวของ 3 หนุ่ม โลโซ ที่เล่นดนตรีกันอยู่ในบ้านกันอย่างเมามัน แบบเต็ม ๆ ไม่มีเบรค ซึ่งโลเกชั่นนั้นทางกองถ่ายก็ได้ร้าน BLUE SEA BAR ย่านเอกมัย เป็นที่ถ่ายทำกันทั้งเรื่อง เริ่มตั้งแต่สระว่ายน้ำ , ห้องส่วนบนที่ถูกเซ็ทไว้เป็นห้องนอน และอีกบางมุมของร้านที่เซ็ทไว้เป็นฉากสบาย ๆ เหมือนห้องนั่งเล่น แต่การถ่ายทำไม่ได้สบายอย่างที่คิด โดยเฉพาะฉากที่เซ็ทเป็นห้องนั่งเล่น เพราะด้วยเนื้อที่ ๆ เล็กมากอยู่แล้ว พอนำเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นเข้าไปห้องนั้นก็ดูคับแคบไปในทันตา แต่หนุ่ม เสก ของเรานั้นเครื่องติดเสียแล้ว ยิ่งร้อน ยิ่งเล่นยิ่งมัน พอได้จังหวะเสก ก็กระโดดกางขาแบบสุดๆเล่นเอาตากล้องและทีมงานหลบกันแทบไม่ทัน

การถ่ายทอดอารมณ์ของความเจ็บปวด ผ่าน MV เคยรักฉันบ้างไหม ของ เสก โลโซ

ในการถ่ายทำมิวสิควิดีโองานเพลงชุดใหม่ โลโซ ปกแดง มิวสิควิดีโอเพลงแรกของชุด พันธ์ทิพย์ ก็โดนใจแฟนเพลงกันทั่วประเทศ ทั้งเรื่องราว และเนื้อหาของเพลง ส่วนมิวสิควิดีโอเพลงที่สองที่กำลังตามมานั้น เป็นเรื่องราวของความรักที่เจ็บปวด เพลง เคยรักฉันบ้างไหม ของ สามหนุ่ม โลโซ จึงถูกถ่ายทอดออกมาโดย ตั้น – พิเชษฐ์ไชย ผลดี รับบทถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดีจากนางเอกไฮโซ อ้อน – เฉลิมขวัญ โชติเวช การถ่ายทำถูกแบ่งออกเป็น 2 ภาค

โดยภาคแรกนั้นทีมงานได้ใช้อาคาร ปริ้นซ์เซส ทาวเวอร์ ย่านเจริญนคร เป็นออฟฟิตของหมอผู้ชำนาญทางจิตเวช ซึ่งพระเอกของเราหลัง จากที่ถูกสาวคนรักทิ้งไปแล้ว แต่ความเจ็บปวดทางจิตใจไม่ได้เจือจางลงไปเลย ทางที่จะทำให้เขาดีขึ้นบ้าง คือการที่ได้ไปคุยและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้หมอได้รับฟัง ฉากนี้จะเริ่มตั้งแต่พระเอกของเรานอนลงบน เตียง พร้อมกับคำถามจากคุณหมอ แล้วเหตุการณ์เมื่ออดีตก็ย้อนกลับมา ซึ่งจบจากฉากนี้จะเป็นการตัด กลับไปที่วง โลโซ ซึ่งมี เสก โลโซ ( เสกสรรค์ ศุขพิมาย ), รัฐ โลโซ ( อภิรัฐ สุขจิตร์ ) และ ใหญ่ โลโซ ( กิตติศักดิ์ โคตรคำ ) พร้อมทั้งวงเครื่องสาย STRING QUARTET กำลังบรรเลงเพลง เคยรักฉันบ้างไหม อยู่กลางสายน้ำ ที่ถูกเซ็ทไว้ในสตูดิโอ ไรเฟ็นเบิร์ก

การเล่าเรื่องของพระเอกจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งตรงนี้ ทางทีมงานได้ใช้สัญลักษณ์จากรูปภาพที่เป็นวิวของทะเลซึ่งถูกแขวนไว้ใน ออฟฟิตของหมอ ช่วงไหนที่เป็นความแรงของความรู้สึกก็จะแทนอารมณ์นั้นด้วย ลมที่พัดเข้ามาอย่าง รุนแรงเพียงชั่วขณะเดียว แล้วก็หายไป จนถึงจุดที่พระเอกต้องการคำตอบจากคนรัก ก็แทนความรุนแรง นั้นด้วย น้ำที่ถูกพัดอย่างเชี่ยวกราด ทั้งสองเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันทั้งทีออฟฟิตหมอและที่วงโลโซ และเครื่องสายซึ่งกำลังบรรเลงเพลงแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

เรื่องราวของเพลง เคยรักฉันบ้างไหม การถ่ายทอดอารมณ์ของความเจ็บปวดที่ถูกเก็บกด ขณะเดียวกันก็พยายามหาคำตอบว่าทำไมคนรักถึงต้องทิ้งเขาไปแบบนี้ ด้วยเรื่องราวและเนื้อหาของ เพลง บวกกับการวางพล็อตเรื่อง ที่ค่อย ๆ BUILD ความรู้สึกอย่างช้า ๆ แล้วก็แรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงอารมณ์ ที่พีคสุด ๆ ของพระเอก แล้วเรื่องทั้งหมดก็ตัดกลับมาที่พระเอก เป็นอะไรที่ชวนติดตามนะครับ เพราะมิวสิควิดีโอเพลงนี้จะถูกตัดสลับกันไประหว่างเรื่องของพระเอก, นางเอก และ วงโลโซ แต่มีราย ละเอียดเยอะมากในมิวสิควิดีโอเรื่องนี้

 

แคท นำทีมนักร้องดังปะทะ เอ – ทีน คอนเสิร์ตมันส์ ๆ ครั้งแรกในเมืองไทย

คอนเสิร์ตโค้กนพ พรชำนิ

โค้กเอาใจวัยกรี๊ดอีกครั้งด้วยการจัดคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังทั้งไทยและเทศในคราวเดียวกันเป็นครั้งแรกในเมืองไทย นำโดย แคทรียา อิงลิช ปะทะวัยรุ่นวงฮอทจากยุโรป เอ – ทีน และเปิดโอกาสให้วัยกรี๊ดได้พูดคุยกระทบไหล่ศิลปินอย่างใกล้ชิดช่วง Meet & Greet Party หลังเวที

….นับเป็นปรากฎการณ์ทางดนตรีที่ต้องบันทึกไว้ สำหรับการจัดคอนเสิร์ตจากศิลปินไทยชั้นนำหลาย ๆ คน ร่วมแสดงคอนเสิร์ตกับศิลปินต่างประเทศบนเวทีเดียวกัน คอนเสิร์ตครั้งนี้นำโดย แคทรียา อิงลิช พรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดของโค้ก และศิลปินชื่อดังอื่น ๆ อาทิ นภ พรชำนิ, อาแมนด้า และโพเตโต้ ปะทะคอนเสิร์ตกับ เอ – ทีน ศิลปินวัยรุ่นสุดฮอทเจ้าของอัลบั้ม The ABBA Generation ซึ่งมียอดขายทั่วโลกกว่า 3 ล้านแผ่นบินตรงจากยุโรปมาร่วมแจมคอนเสิร์ตในเมืองไทย…. นางสาวอาภาภรณ์ สมะพันธุ ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์ โคคา – โคลา บริษัท โคคา – โคลา ( ประเทศไทย ) จำกัด กล่าว

 

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน นี้ เวลาบ่าย 3 โมงตรง อย่าพลาดชมคอนเสิร์ตมันส์ ๆ โค้ก มิวสิค เฮอริเคน คอนเสิร์ต ณ ลานกลางแจ้งหน้าเอ็มโพเรียม เพียงนำโค้กแคน 3 กระป๋อง สามารถแลกรับบัตรเข้าชมคอนเสิร์ตฟรี ได้ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ห้างเอ็มโพเรียม และเดอะมอลล์ทุกสาขา ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึง วันที่ 11 พฤศจิกายน 2001

โค้ก มิวสิค เฮอริเคน คอนเสิร์ต ยังเปิดโอกาสให้วัยรุ่นไทยได้มีโอกาสกระทบไหล่ศิลปินดัง ๆ อย่างที่คุณ คาดไม่ถึงในช่วง Meet & Greet Party ให้วัยกรี๊ดได้ชิทแชทกับเหล่าศิลปินหลังเวทีคอนเสิร์ตอย่างใกล้ชิด พร้อมรับภาพถ่ายศิลปินในดวงใจไว้เป็นที่ระลึก ติดตามรายละเอียด Meet & Greet Party ติดตามรายละเอียดได้ทางรายการวิทยุคลื่น 88 MHz. Radio No Problem, Hot Wave FM 91.5 และ RVS 93.5 MHz. กับกิจกรรมเซอร์ไพร้ซ์วัยรุ่นไทยอีกครั้งภายใต้แคมเปญ Life Tastes Good with Music หรือ ชีวิตมีรสชาติกับดนตรี แล้วอย่าพลาดงานนี้

 

ปู vs โต ปลื้ม ไอเดียผู้กำกับ ขอลุย เล่นเอง ในมิวสิควิดิโออัลบั้มพี่น้อง ร้องเพลง อัสนี วสันต์

เล่าเรื่องเบื้องหลังการถ่ายทำมิวสิควิดิโอเพลงเก่า เพลง อยากจะรู้ และ ทั้งๆ ทีรู้ ในอัลบั้ม พี่น้องร้องเพลง อัสนี วสันต์ ที่ปู แบล็คเฮด และ โต ซิลลี่ฟูล มาแสดง

มิวสิควีดีโอเพลง “อยากจะลืม” และเพลง “ทั้ง ๆ ที่รู้ ” จากเสียงร้องของนาย ปู แบล็คเฮด และ นาย โต ซิลลี่ฟูล ในอัลบั้ม ..ลงเอย พี่น้อง ร้องเพลง อัสนี วสันต์ ที่ตอนนี้ไม่ว่าคุณไปที่ไหน ก็มักจะได้ยินเพลงในอัลบั้มนี้เปิดคลอกันตามที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ ได้ชม โดยส่วนตัวแล้ว ขอยกนิ้วให้กับไอเดียการสร้างสรรค์ มิวสิคตัวนี้นะ ว่าทำได้เยี่ยมยอดจริง ๆ เพราะ ผู้กำกับ เค้าตั้งใจผูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ ๆ เดียวกัน ด้วย การเสนอในมุมมองที่แตกต่าง ของคน 2 คน มาทำเป็นมิวสิควีดีโอให้ดูกันรวดเดียว ถึง 2 เพลง ถือเป็นจุดแตกต่างจากมิวสิคตัวอื่น ๆ ที่คุณ มักจะได้ชมกันอยู่บ่อย ๆ

ในส่วนของการถ่ายทำนั้น ทีมงานเขาได้ใช้สถานที่ ย่าน RCA เป็นหลัก โดยถ่ายทำเป็นเส้นเรื่องก่อน ขั้นตอนได้แบ่งสลับกันถ่ายไปมาทั้ง 2 เพลง และ แน่นอน บทพระเอกผู้น่าสงสารก็ตกเป็นของนายปู ที่งานนี้จะต้องรับบทหนัก เพราะ นอกจาก โดนสาวเจ้าบอกเลิกแล้ว ยังต้อง โดนซ้อม ทั้ง รถชน และฉากที่ถูกเหล่านักข่าวรุมสัมภาษณ์ เรียกว่า แต่ละฉากที่ผ่านไปนายปู ต้องปรับอารมณ์ กันน่าดูทีเดียว

แถมสาวเจ้ายังทำร้ายจิตใจด้วยการหันไปคบหากับหนุ่มอีกคน อย่างเปิดเผย แต่ทุกอย่างก็ผ่านฉลุย และบทของ ตาอยู่ ผู้มาทีหลังแต่กลับได้ของดีไป ก็ตกเป็นของนาย โต อย่างเหมาะสม ด้วยลีลา ท่าทาง อารมณ์ เข้ากับเนื้อหาของเพลง ” ทั้ง ๆ ที่รู้ ” นี้เหลือเกิน งานนี้ ทำให้เรายังได้ทราบอีกว่า ผู้กำกับ เค้าได้ใช้เทคนิคในตัดต่อภาพ การใช้โทนสี และการใช้เสียงประกอบ แทนแต่ละช่วงอารมณ์ ของมิวสิคตัวนี้ได้ดีทีเดียว

โฟร์ท หมดแรงร้อง ไม่มีฉันคนนั้นอีกแล้ว”

ถ่ายทำสกู๊ปเปิดตัวด้วย 3 เพลง คือ ไม่มีฉันคนนั้นอีกแล้ว, คลื่นใต้น้ำ และ ฉันทำไม่ได้ ให้แฟนๆ ได้ชมกันไปแล้ว สำหรับ โฟร์ท-นฤมล จิวังกูร นักร้องเสียงดีของค่าย อาร์เอส ซึ่งเธอเล่าให้ฟังว่า “สำหรับการถ่ายทำสกู๊ปในวันนี้ ไม่ยากนะคะก็จะเป็นการถ่ายไลน์ซิงเพลงใหม่ในอัลบั้ม เมจิก เลิฟ นี้ 3 เพลง แล้วก็เป็นการสัมภาษณ์พูดคุย ก็ไม่ยากนะคะ ถ้ายากตอนร้องอยู่ในห้องอัดยากกว่าเยอะเลยค่ะ โดยเฉพาะเพลง ไม่มีฉันคนนั้นอีกแล้ว ที่กำลังมีมิวสิกฯ ให้ได้ชมกันนี่แหละค่ะ จะเรียกว่ายากที่สุดในอัลบั้มเลยก็ได้ค่ะ เพราะตอนขึ้นเพลงจะใช้เสียงสูงมาก แล้วก็ใช้เรนจ์เสียงค่อนข้างกว้าง ต้องใช้ลมหายใจยาวมาก…ก แล้วก็ต้องหาเสียงร้อง ที่ไม่ให้แข็งเกินไปแล้วก็ฟังเพราะ ยากค่ะเพลงนี้เข้าห้องอัดเพลงแรก ร้องจนหมดแรง ต้องเปลี่ยนไปร้องเพลงอื่นก่อน จนถึงที่สุดเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่เสร็จเป็นเพลงสุดท้ายค่ะ โฟร์ทว่าเพลงนี้แค่ประโยคที่ว่า “ไม่มีฉันคนนั้นบนโลกนี้อีกแล้ว” นี่ก็อธิบายได้ทุกอย่างแล้วนะคะ รวมทั้งเรื่องราวในมิวสิกวีดิโอด้วย ซึ่งตอนนี้ถ่ายทำเสร็จแล้ว และออกอากาศให้ชมกันอยู่ แล้วโฟร์ทก็อยากให้ติดตามกันดูนะคะ”

“ส่วนกระแสตอบรับเพลงนี้เท่าที่เจอมา เขาจะบอกว่าสะใจดี แล้วคนที่บอกส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง อย่างอัลบั้มแรก แฟนเพลงจะติดภาพว่าเพลงของโฟร์ทจะต้องเศร้า เป็นความรักที่ผู้หญิงต้องยอมเจ็บยอมทนทุกอย่าง อย่างนาฬิกาทรายจะเศร้ามาก พอมาอัลบั้มเมจิก เลิฟนี้ ก็จะมีมุมมองความรักในแบบอื่นๆ เพิ่มเข้ามา อย่างเพลง ไม่มีฉันคนนั้นอีกแล้ว ถึงจะเศร้าแต่ก็เด็ดขาด เนื้อหาของเพลงจะพูดถึงความรักที่บางครั้งผู้ชายอาจจะคิดว่า ผู้หญิงเวลารักมากๆ จะโดนทำร้ายจิตใจยังไงก็ยอม แต่เพลงนี้ไม่ยอมค่ะ คือถ้าคิดว่า ไปแล้วกลับมาจะได้ความรักเหมือนเดิม มันไม่ใช่แล้ว ไม่มีฉันคนที่เคยรักเธออยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ซึ่งโฟร์ทว่าเดี๋ยวนี้จะเป็นแบบนี้กันส่วนใหญ่นะคะ คือค่อนข้างเด็ดขาด อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงเดี๋ยวนี้ทำงานนอกบ้าน พึ่งพาตัวเองได้ แล้วก็มองความรักด้วยความเป็นจริงมากขึ้น ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ไม่ควรดันทุรัง ซึ่งโฟร์ทก็ดีใจนะคะที่แฟนเพลงชอบกัน”

เจ็บไม่จำ ปาน ธนพร

“ปาน-ธนพร” ถ่ายมิวสิกฯ “เจ็บไม่จำ” ตามคำเรียกร้อง

มาแรงไม่ตกแบบต่อเนื่อง สำหรับนักร้องสาวเสียงดี “ปาน ธนพร แวกประยูร” เรียกว่า ปล่อยเพลงไหนออกมาก็โดน ใจบรรดาแฟน ๆ เพลงไปเสียหมด ตั้งแต่ ตบมือข้างเดียว หว่านเมล็ดบนเม็ดทราย 3 คน 2 ทาง ผู้หญิงทุกคนเอาแต่ใจ และล่าสุดกับเพลงช้า เพลงที่ 5 เจ็บไม่จำ ซึ่งตอนนี้อาร์เอส.ฯ ได้ถ่ายทำออกมาเป็น มิวสิกวีดีโอให้ชมกัน แล้วตามคำเรียกร้อง ซึ่ง ปาน ได้พูดถึงเพลงนี้ว่า…

“ปานว่า เพลง เจ็บไม่จำ” เป็นเพลงที่พูดถึงจุดอ่อน จุดหนึ่งของผู้หญิง เพราะผู้หญิงเราเนี่ยชอบใจอ่อนค่ะ คือถ้ารักใครแล้วก็จะมั่นคง ต่อให้เขาทำให้เราเจ็บแค่ไหน แต่เมื่อเขากลับมาทำดีกับเรา เราก็อดที่จะให้อภัยเขาไม่ได้ทุกที เพลงนี้ก็เลยจะเหมือนกับ ต่อว่าตัวเองนะคะว่า ทำไมเจ็บแล้วไม่จำซักที ให้เขาทำร้ายเราอยู่ได้ ซึ่งก็เป็นความรักที่เรา พบเจอกันบ่อย ๆ นะคะ ทั้งจากละคร หนัง รวมทั้งชีวิตของคนจริง ๆ ด้วย ก็มีหลาย ๆ เสียงนะคะ ที่บอกว่า เออ…เนื้อหาเพลงนี้ก็ถูกใจนะ ชอบ เราก็เลยหยิบเอามาทำ เป็นมิวสิกวีดีโอให้ชมกัน เป็นเพลงที่ 5 ค่ะ โดยพี่ ๆ ทีมงานเขาจะวาง เรื่องให้เป็นเรื่องราวที่ สามารถพบเห็นได้ โดยเรื่อง จะเกิดขึ้นในออฟฟิศ นางเอกจะแอบหลงรัก เพื่อนร่วมงาน ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าเขามีแฟนแล้ว พอเขา มาทำดีด้วยก็ดีใจ มีความหวัง แต่พอเจอเขากับแฟน ก็มานั่งเสียใจอยู่คนเดียว คือเป็นเรื่องธรรมดา ๆ มาก

ซึ่งปานเชื่อว่าทุกออฟฟิศต้อง มี หรือบางคนอาจจะเคย เจอกับตัวด้วยซ้ำ ก็คิดว่าถ้าได้ชมมิวสิกวิดีโอ เพลงนี้กันแล้วคงจะ ถูกใจกันนะคะ