“แกรมมี่” เป็นบริษัทที่เริ่มทำธุรกิจบันเทิงในแขนงนี้แห่งแรก เป็นตัวเปิดตลาดการทำธุรกิจในแนวนี้ให้แพร่ขยายไปมากขึ้น และนับได้ว่าเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ภายใต้การบริหารของบุคคลที่ร่วมสร้างแกรมมี่ให้ผงาดขึ้นมา และบุคคลสำคัญหนึ่งในนั้นก็คือ เรวัติ พุทธินันทน์ หรือ พี่เต๋อ ที่เราเรียกกันติดปากนั่นเอง
“การที่เราคิดทำในสิ่งที่ดี หรือว่าอยากคิดทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนในสังคม บางครั้งมันก็จะต้องมีสิ่งที่มาบั่นทอนความรู้สึกตลอดเวลาโดยเรื่องไร้สาระ เพราะมันเป็นเรื่องของมนุษย์ และมันเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า ในสังคมเรายังต้องการการพัฒนาอีกเยอะมากในทุกจุด แม้กระทั้งในเรื่องของจิตใจคน”
“ผมเรียนมาทางด้านการเงินการธนาคารแต่ชีวิตผม ตั้งแต่ช่วงเรียนหนังสือมาแล้วจะเกี่ยวพันกับดนตรีมาตลอด ผมชอบดนตรีอยู่แล้ว
การที่ผมมาทำงานเกี่ยวกับเรื่องดนตรีก็เพราะความรักส่วนหนึ่ง แต่ว่าในเรื่องของชีวิตตั้งแต่ก่อนที่ผมเรียนหนังสือ จนกระทั่งเรื่องการศึกษษที่ผมเรียนอยู่ มันทำให้คิดไปว่าดนตรีจริงๆ มันเป็นวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ผูกพันกับชีวิตคน ซึ่งจนถึงขณะนี้ ผมก็มองเรื่องของการดนตรีว่า มันไม่ไปถึงไหน อยู่แถวๆ นั้น ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ดนตรีมันไปกว้างไกลเหลือเกิน
ดนตรีกับคนไทยมันจะอยู่ห่างกันมากเลย สำหรับดนตรีต้องเป็นคนที่รักจริงๆ ถึงจะเข้าใกล้ ไม่งั้นมันก็ผ่านไปผ่านมา แต่ในบางประเทศความใกล้ชิดระหว่างดนตรีจะมีเยอะมาก
การพัฒนาในหลายๆ องค์กร ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีหรือว่าวัฒนธรรมในการกินการอยู่ การใช้ชีวิตประจำวัน ประเทศเราก็กำลังตามคนอื่นที่เขาเรียกว่าเป็นอารยประเทศไปอยู่แล้ว ตรงนั้น ผมก็มาคิดว่า ในเมื่อดนตรีเขาไปถึงตรงนั้นแล้ว ทำไมเรายังไม่ไปไหนอีกเลย คิดว่ามันควรจะต้องมีคนที่มาทุ่มเทตรงนี้กับมันมั่ง ถึงจะเกิดอะไรขึ้น”
และจากความคิดที่เริ่มก่อตัวขึ้น โดยมีความหวังจะให้มีการพัฒนาทางด้านดนตรีขึ้นในบ้านเรานี่เอง เป็นแรงผลักดันให้คุณ เรวัติ เริ่มสนใจที่จะทำธุรกิจทางด้านดนตรี
“คำว่าธุรกิจทางด้านดนตรี ในสมัยนั้นมันไม่ได้เป็นธุรกิจทั้งหมด คือของเราอาจจะเรียกกันว่ามันเป็นแบบ งูๆ ปลาๆ เพราะเราคิดกันว่าดนตรีมันเป็นเรื่องของการบันเทิง มันเป็นสิ่งที่ไม่ซีเรียส จึงไม่มีใครสนใจกับมันอย่างจริงจัง ให้มันผ่านไปแล้วก็ผ่านมา เหมือนกับคำพูดที่เราเรียกกันว่า เต้นกินรำกิน อะไรทำนองนี้ มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่คนที่รักดนตรีจริงๆ เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น ผมคนนึงก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น
ผมกลับมองว่าจริงๆ ดนตรีมันมี momentum ใหญ่มากเลย สำหรับประเทศไทย ซึ่งมันจะต้องเป็นไปได้ในอนาคต แต่ว่าใครล่ะจะเป็นคนทำ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดว่าจะลงมือทำอะไรได้มาก ผมคิดว่าคงจะมีคนที่ความสามารถหรือผู้ผลักผู้ใหญ่ที่เขาจะมีความชอบทางนี้ ซึ่งถ้าเรารู้อะไร เราก็พอจะช่วยเหลือได้บ้าง
ผมคิดว่าผมจะเดินบนเส้นนี้ ผมถึงตัดสินใจเลือกอาชีพดนตรี
หลังจากเรียนจบผมเริ่มเป็นคนดนตรีอาชีพตั้งแต่ตอนนั้น ใช้เวลาเวียนว่ายตายเกิดในการระหกระเหิน สนุกสนาน เจ็บปวด ยิ้มกับชีวิต ตรงนี้ on the road เป็นสิบๆ ปี ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่า ผมเลิกแล้ว on the road แล้วจะต้องออกมาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
ช่วงนั้นก็พอดีได้มาพบกับหลายๆ คนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น บุษบา ดาวเรือง คุณกิตติศักดิ์ ซึ่งเราก็มีจุดหมายหลายอย่างที่ใกล้เคียงกัน
แน่นอนว่าเรื่องดนตรีที่ทุกคนเสพย์อยู่ในโลกนี้ ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องของธุรกิจ มันเป็นธุรกิจที่นำความบันเทิงไปสู่ประชาชน ประชาชนก็แลกมาด้วยการจ่ายเงิน ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันเป็นการซื้อความสุขที่ถูกมาก
ในการซื้อธุรกิจที่เผอิญมันเป็นธุรกิจที่มีอาร์ตเข้ามาเจือปน เป็นแกนในการให้ความเสน่หาส่วนบุคคล
จุดประสงค์ที่ผมเข้ามาตรงนี้มันมี 2 อย่าง คือ อย่างแรกเป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า คำว่าดนตรีบ้านเราเมื่อไหรมันจะเป็น business สักที เพราะว่าอะไรก็แล้วแต่ถ้ามันไม่เป็นธุรกิจ การเจริญเติบโตมันจะไม่มีการผลักดัน มันจะไม่มีเม็ดเงินมาล่อให้คนตะเกียกตะกายกัน
อีกจุดประสงค์ก็คือ เมื่อธุรกิจมันถูกผลักดันแล้ว เชื่อมั่นว่าจะเกิดการแข่งขัน เพราะการทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามันขยายกว้างออกไป มันจะเกิดการแข่งขัน มันจะเกิดพัฒนาการ เกิดการยกระดับมาตรฐาน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่เราทำ คนที่เข้าไปร่วมอยู่ในธุรกิจนั้น เป็นคนอย่างไร ซึ่งตรงนี้ เป็นสิ่งที่ในต่างประเทศเขาทำกันมาตลอด
ผมเชื่อมั่นว่า สักวันหนึ่งทุกอย่างมันจะถูกจัดแบ่งลงตัวด้วยธรรมชาติ เหมือนกับทุกสิ่งที่ผมคิด แล้วในที่สุดเราก็เริ่มลุยงานกัน โดยมีคุณไพบูลย์เป็นหัวเรือใหญ่ เป็นแบ็คอัพ ทำกันมาเรื่อย จนถึงวันนี้ก็ปีที่ 11 แล้ว เราทำจากที่ไม่มีแม่แบบอะไรให้ศึกษาเลย เราก็ทำกันมา พยายามทำทุกอย่าง ซึ่งถูกบ้างผิดบ้าง ก็พยายามทำให้มันดีที่สุด ได้ตามอัตภาพ และสถานภาพของไทยเรา
ซึ่งตรงนี้ factor มันเยอะมาก เราก็ถูกประเมินจากสังคมว่าเราประสบความสำเร็จ ตรงนี้ในเรื่องส่วนตัว ผมก็มีความภูมิใจ ดีใจและขอบคุณสำหรับคนที่เห็น ที่มองในแง่ดี แต่ในเวลาเดียวกันในการทำธุรกิจ ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่สำหรับบ้านเรา ถ้ามีคำว่าธุรกิจมาเกี่ยวข้องด้วย มักจะถูกรุม ซึ่งตรงนี้เราก็อยู่ในฐานะนั้นอยู่
เพราะเราเป็นบริษัทใหญ่ ซึ่งทำอะไรออกมาได้ผล ส่วนมากแล้วจะถูกมองในทางร้ายตลอดเวลา ตรงนี้ในส่วนตัวผม ผมเชื่อว่าต้องพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งสำหรับคนไทยผมกล้วพูดได้ว่า ผมทำในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ ผมเป็นคนที่เห็นคุณค่าของคน ซึ่งตรงนี้ในมุมมองของคนที่มองกันในแต่ละสังคมมันเป็นยังไง แล้วความบริสุทธิ์ใจมันอยู่ตรงไหน
ผมเป็นคนจริงจัง เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของการมองชีวิต เป็นเรื่องของคน สังคมใดที่ไม่มีเหตุผล สังคมใดที่ไม่สามารถจะก้าวพัฒนาไปสู่จุดที่ดีกว่าได้มาก มันเป็นผลสะท้อนให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว สังคมนั้นยังล้าหลังอยู่ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าได้ทำอะไรไว้ให้กับคนหลังๆ ได้เยอะมากพอสมควร ผมเพียงแต่หวังว่าคงจะมีคนที่ 2 ที่ 3 ที่ 4-5-6
และในที่สุดผมก็อยากจะเพ้อฝันว่า น่าจะมีคนเก่งๆ ระดับอินเตอร์ สักแสนคนในประเทศไทย แล้วก็ช่วยกัน ซึ่งตรงนี้อยากจะผ่านถึงคนรุ่งใหม่อยากให้รู้ว่า หนทางการต่อสู้ของพี่เต๋อมันทารุณและโหดร้ายมาก กับคนที่มีอุดมคติ คนที่มีความบริสุทธิ์ใจ อยากฝากไปถึงคนรุ่นต่อๆ ไปว่า การที่เราคิดทำในสิ่งที่ดี หรือว่าอยากคิดทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนในสังคม บางครั้งมันก็จะต้องมีสิ่งที่มาบั่นทอนความรู้สึกตลอดเวลาโดยเรื่องไร้สาระ เพราะมันเป็นเรื่องของมนุษย์ และมันเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า ในสังคมเรา ยังต้องการการพัฒนาอีกเยอะมากในทุกจุด แม้กระทั้งในเรื่องของจิตใจคน”
บางส่วนจากบทสัมภาษณ์โดย อนนต์\สมศิริ
ในนิตยสาร image ปีที่ 8 ฉบับที่ 4 เมษายน 2538
Leave a reply