หลังจากทิ้งความประทับใจผลงานเพลงชิ้นล่าสุดภายใต้ชื่อกลุ่มศิลปิน “SYSTEM 4” โดยการ นําของ เบิร์ด กุลพงศ์ บุนนาค แล้วต่างคนก็ต่างบินลัดฟ้าเพื่อกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐ อเมริกา จนเมื่อเร็ว ๆ นี้เราก็ได้ข่าวการกลับมาเยือนของเบิร์ดอีกครั้ง การมาครั้งนี้หรือว่าจะถึง ฤดูกาลแห่งการบรรเลงเสียงเพลงของเขาแล้ว ด้วยความเอื้อเฟื้อจากพี่สาวผู้อารี เธอกับฉันก็เลย ได้โอกาสพูดคุยกับหนุ่มคนนี้เร็วกว่าที่คาดคิด เรื่องราวครั้งใหม่ในการกลับมาครั้งนี้ของเบิร์ด ที่ออกจากปากคําของเขาเอง พร้อมอยู่ตรงนี้ แล้ว
“ใช่แล้วครับ กลับมาคราวนี้ผมกลับมาทํางาน อัลบั้มชุดใหม่”
ได้ข่าวมาว่าจะเป็นการร่วมงานกับ ฮาร์ท อีก ครั้ง
ฮะ
แล้วน็อต จ๋ำ โจ๋ ล่ะฮะ
SYSTEM 4 ก็ยังอยู่ คือว่าเราอยู่ที่โน่น (อเมริกา) เป็นกลุ่มเพื่อนกัน ใครว่างเมื่อไหร่ก็คงจะ มาร่วมงานกันอีกครั้ง คือช่วงที่ทํา SYSTEM 3 ชุดแรกนั้น ฮาร์ทเค้าบอกว่าเค้าอยากเรียน เค้ายังไม่พร้อมที่จะกลับมาช่วงนั้น ซึ่งผมก็เล่นดนตรีอยู่ กับน็อต จ๋ำ โจ๋ เค้าก็บอกเค้าอยากจะกลับมาเมืองไทยช่วงนั้น ก็เลยเป็น SYSTEM 4 ในตรงนั้น ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็น SYSTEM 5 ก็ได้ใช่มั้ยฮะ มี ฮาร์ทเข้ามาอยู่ด้วย คืออาจจะเป็นวงใหม่เลยก็ได้ แต่พวกผมทํางานร่วมกันทั้งนั้นแหละ อย่างชุดนี้ที่ กับฮาร์ท จ๋ำเค้าก็ช่วยมาตีกลองใจก็ช่วยมาเล่นเบส น็อตเข้ามาเล่นกีตาร์ให้อะไรเงี้ย ซึ่งเค้ากลับมาร่วมงานกับเราที่นี่ไม่ได้ ก็เลยเป็นเบิร์ด กับฮาร์ท เพราะมีเวลาว่างที่จะมาทํางานตรงนี้ ที่เมืองไทยพอดี
ในการออกผลงานชุดใหม่นี้ก็ต้องมีการย้ายค่าย ให้ด้วย
คือครีเอเที่ยที่เราเคยทํา SYSTEM 4 ตอนนี้เค้าไม่ได้ทําแล้ว ตอนหลังนี้เราก็มาคุยกับหลาย ๆ บริษัท ก็รู้สึกว่าดีตาเค้าจะให้อิสระเรามาก ในการที่จะทําผล งานออกมาตามสไตล์ของเรา ก็คิดว่าคงจะลงเอยตรง นี้นะฮะ แต่ก็ไม่ได้เซ็นสัญญาอะไร เป็นสัญญาใจกันมากกว่า คือเราเข้าไปคุยกับเค้าแล้วสิ่งที่เค้าพร้อมที่จะทําให้เรา และสิ่งที่เราต้องการมันไปกันได้ ไม่มี ปัญหา
พูดถึงแนวเพลงแล้ว การกลับมาทํางานกับฮาร์ท อีกครั้ง แนวเพลงจะกลับมาเป็นอย่างที่เคยทําคู่กัน หรือเปล่า
เพลงมันคงจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เพราะแก่ขึ้น (หัวเราะ) รู้จักเพลงมากขึ้น รู้จักดนตรีมากขึ้น เพราะฉะนั้นมันก็คงจะไม่เหมือนเดิมที่เดียวนัก แต่เป็นแนวที่ทุกคนฟังแล้วรู้สึกได้ว่า เออ..มันเป็นเบิร์ดกะฮาร์ทอะไรเนี้ย
การท่าเพลงล่ะฮะยังเป็นการทํากันเองอยู่รึเปล่า
ฮะ ถ้าทํางานกับฮาร์ทนี้ ผมยกให้ฮาร์ททั้งหมดเลย ฮาร์ทจะเป็นผู้โปรดิวซ์ แต่เป็นเพลงที่ทั้งผมแต่ง และฮาร์ทแต่ง
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทางคีตานะฮะ
ไม่ฮะ นี่ไงที่บอกว่าเป็นอิสระก็คือว่า เขาไม่มายุ่งตรงนี้ เค้ายอมรับในสิ่งที่เราทํามา ซึ่งในสมัยนี้ก็เป็นอะไรที่ให้อิสระกันพอประมาณ
ตอนนี้ทําไปได้ซักกี่เปอร์เซ็นต์แล้วฮะ
สัก 80 เปอร์เซ็นต์ได้ เราทํามาจากที่อเมริกากันหมดเลย อีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือการตบแต่งเรียบเรียงที่เมืองไทย แต่เมนมันนี้เสร็จแล้ว ส่วนเรื่องกําหนดวางแผงนี้ไม่รู้อะ เราถามเค้าว่าจะวางเมื่อไหร่ เค้าก็จะบอกว่ามันขึ้นอยู่กับการตลาด เค้าคิดว่ามันเหมาะตอนใหนเค้าก็จะออกให้เรา ซึ่งอาจจะเป็น เดือนหน้า หรืออาจจะเป็นอีก 6 เดือนก็ได้ แล้วแต่ว่าเค้าจะออกตอนไหน
เบิร์ดก็ต้องทิ้งทุกอย่างทางโน้นมารองานชิ้นนี้
ก็ต้องรอ เรื่องเรียนเรื่องอะไรก็ต้องหยุด
กับกําหนดเวลาที่ไม่แน่นอนอย่างนี้ไม่ทําให้เสีย การเรียนเหรอ
คือเบิร์ดเรียนปริญญาโทอยู่ แต่ก็ทํางานไปด้วยก็คงต้องหยุดไว้ก่อน
งานที่ทําที่โน่นเป็นงานดนตรีอย่างนี้รึเปล่า
เป็นงานอย่างอื่นครับ เป็นงาน AE ประสานงานธุรกิจ คือพี่ชายผม 2 คนเค้าตั้งโรงงานเกี่ยวกับ การบรรจุหีบห่อ PACKING มีพนักงานซัก 15 20 คน ผลิตงานอย่างกล่องใส่วิดีโอ..อะไรอย่างนี้ ซึ่ง เครื่องมือต่างๆ ของวิดีโอจะมีของพลาสติกใส่ โรงงานเราก็จะเป็นคนทําซองพลาสติกนั้น หรือว่าอัลบั้มรูปเราก็ทําตรงพลาสติกอะไรอย่างนี้ แต่จริง ๆ แล้ว ผมแยกออกมาทําอีกบริษัทหนึ่ง คล้าย ๆ นายหน้า คือเราจะรับงานมาสารพัดงาน แต่เราจะเลือกงาน งานที่เราคิดว่ากําไร ๆ ดี หรือเหมาะสมกับงานโรงงานเรามาก เราก็จะส่งเข้าโรงงานเราเอง หรืองานที่เราคิด ว่ากําไรไม่ดีนัก หรือเราทําไม่สะดวก เราก็จะส่งไปให้ บริษัทอื่น ลูกค้าก็จะเป็นฝรั่งทั้งหมดเลย
งานเหล่านี้ใช่มั้ยที่เบิร์ดคิดจะยึดเป็นอาชีพจริง ๆ ในอนาคต
ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฮะ คือของพี่ชาย 2 คน มาทําตรงนี้ แล้วเค้าถนัดในการโปรดักชั่น หรือการ ผลิตมาก ผมเรียนจบ MARKETING มา ก็เลยมาช่วยด้านการตลาด งาน A. E หรืองานประสานงาน ระหว่างลูกค้ากับทางบริษัทนี้มันก็โอ.เค. สักช่วงแต่ ในระยะยาวมันคงจะจําเจ ไม่รู้สิเห็นเพื่อนหลายคน ทํา A E อยู่ปีสองปีเค้าก็จะเบื่อแล้ว
ฟังดูแล้วงานของเบิร์ดท่าทางจะยุ่ง แล้วเอาเวลาที่ไหนไปทําเพลงล่ะฮะ เพราะไหนจะต้องเรียนอีก
ช่วงนั้นเวลาว่างน้อยมาก ตอนนั้นเรียนไม่ได้เลย ช่วงที่มาทํา SYSTEM 4 แล้ว กลับไปนี้ผมทํางาน เต็มที่เลยครึ่งปี โดยที่ไม่ได้เรียนเลย หลังจากนั้นเราก็ รู้สึกมาเริ่มเรียนต่อดีกว่า แต่จริงๆ แล้วอยากทํางาน แล้วครับ มันแก่แล้ว ดนตรีนี้ก็เป็นงานอดิเรก ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็เจอกับฮาร์ทเค้า ก็มานั่งคิดกันว่าจะ เอาเพลงนี้มั้ย เพลงนั้นมั้ย จะทํายังไง ซึ่งเราอยู่คน ละที แต่เวลามาเจอกันนี้ก็จะมาเจอแบบอัตโนมัติ คือเราจะรู้กันว่าเราจะเจอกันได้ที่ไหน จะมีที่ประจํา ที่ไปกัน พอว่างก็ไปเจอกัน จะเป็นอย่างนี้ซะส่วนมาก
แต่ช่วงที่เข้าห้องอัดเสียงจริง ๆ นี้ ไม่รู้ว่าจะ เหมือนเมืองไทยรึเปล่านะ ที่อเมริกามันแพง เพราะ ฉะนั้นการที่เราจะเข้าห้องอัดเสียงนี้เราจะต้องเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย อะไรจะขึ้นตอนไหน เปียโนจะเข้าตอนไหน แยกตรงไหนต้องเตรียมให้เรียบร้อย เข้าไปใบนี้ต้องพร้อมเลย มันจะเร็วมาก ๆ เทคโนโลยี สมัยใหม่มันจะเป็น SEQUENCER สามารถที่จะลง เสียง กลอง กีตาร์ เปียโน ใน GIGITAL ได้ เราจะลง ก่อนแล้วมันจะยังเข้า TRACK 24 TRACK เลย ทํา ให้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เพราะสิ่งที่เราจะยิงเข้าเนื้อเทป จริงๆ ในห้องอัดเนีย อาจจะเป็นเสียงร้อง เสียง ประสาน แต่เสียงกลองในชุดใหม่ของเรานี้ 70% จะเป็นกลองจริง แต่ไม่รู้ว่าคนจะฟังออกมั้ยว่าเป็น เสียงกลองจริงๆ
ความรวดเร็วนี้เป็นเหตุผลที่ทําให้เลือกอัดเสียงที่ โน่นหรือเปล่า หรือเพราะความสะดวก
ความสะดวกมากกว่า เพราะถ้าเราจะมาอัด เสียงเมืองไทย มันก็เสียเวลาเปล่า อยู่ที่โน่นเราใช้ เวลาว่าง ศุกร์ เสาร์-อาทิตย์เข้าไปอัดเสียงมันก็เสร็จ แล้ว แต่ไม่ได้ว่าเค้าเก่งกว่าเลยนะพูดตรงฝีมือคนไทย ทําได้เหมือนกัน
มันจะทําให้ต้นทุนการผลิตงานของเบิร์ตมาก กว่าศิลปินคนอื่นรึเปล่า
ใช่ ๆ เท่าที่ผมเข้าใจนะฮะ ไม่รู้ว่ามันจะเป็น จริงขนาดใหน ส่วนมากที่เมืองไทยเค้าทําเทป MASTER มาแล้ว เค้าจะขาย MASTER แล้วเค้าจะได้ กําไรจาก MASTER ด้วย อย่างเค้าลงทุน MASTER 3 แสน เค้าอาจจะมาขายบริษัทเทปอีกที่ 5-6 แสน อะไรเงี้ย ซึ่งตรงนั้นมันคือกําไร ส่วนพวกผมค่าใช้จ่ายจากตรงนั้นมันแพง การที่เราขาย MASTER ให้บริษัทเทป เราจะไม่ได้กําไรตรงนั้น เพราะค่าใช้จ่ายเราสูงกว่าคนอื่นเค้า ซึ่งเราจะมาบวกราคาตรงนั้นเพิ่ม เค้าก็คงไม่เอาหรอก แต่ก็โอเค.ฮะ เราถือว่า เราได้ทํางานที่ต้องการจะทํา ( จะเป็นการทํางานตามความพอใจที่ต้องการนํา
เสนอของเราเอง ไม่ค่อยจะคํานึงถึงความเป็นธุรกิจเท่าไหร่
ก็พูดง่าย ๆ ตอนเข้าไปคุยกับบริษัทต่าง ๆ นี้ เค้าก็จะบอกว่าทําอย่างนี้มันอาจจะขายได้ไม่เยอะนะ แทนที่คุณจะขายเป็นล้าน ก็จะขายได้แค่แสน ถ้าคุณให้เราแต่งให้ หรือให้เราคิดแนวดนตรีให้ คุณอาจจะขายได้เยอะกว่านี้ ซึ่งเราก็บอกไม่เป็นไรหรอกครับ เราขอตรงนี้ไว้เป็นอะไรที่เราภูมิใจดีกว่า ถึงแม้ว่าเพลงมันอาจจะไม่ดังทะลุยอดฟ้า แต่เราฟัง แล้วเรารู้สึกว่า เออ นี่เป็นเพลงที่เราแต่งออกมาหรือ ว่าเราเป็นคนทํา ความภูมิใจมันอยู่ตรงนั้น มันไม่ได้อยู่ที่เงินเท่าไหร่
ซึ่งวงการเพลงไทยทุกวันนี้ธุรกิจมันมาควบคุมศิลปินไปหมดแล้ว
ฮือ..ใช่จริงๆ นะ ไม่ได้ว่าใคร แต่มันเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ คือว่านักดนตรีหรือว่านักร้องไทย สมัยนี้ จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่นักดนตรี เป็นนักแสดงหรือ ใครก็ได้ที่พอเป็นที่รู้จักก็เป็นนักร้องได้แล้ว ซึ่งหลายคนก็ร้องได้ดีนะฮะ แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าที่ตัวของเค้า จะไม่มีความรู้ทางด้านดนตรี จุดบอดมันอยู่ตรงนั้น
กับสภาพที่เป็นไปอย่างนี้ มันมีผลบังคือให้เรา ปรับสภาพไปตามระบบอย่างนั้นมั้ย
ก็นิดหน่อย แต่ก็อย่างที่บอก เราก็พยายามจะยืนของเราอยู่ตรงนี้ ขอแต่งเองเพราะว่าเราเป็น อย่างง ๆๆๆ นี่ยังดีนะที่ว่าเราเคยทําเพลงมาก่อนแล้ว ถ้าเพิ่งมาเริ่มทําตอนนี้เค้าคงไม่ให้เราทําหรอก เพราะ ว่าสมัยนี้เท่าที่ดู ทุกคนที่ออกเทปจะเป็นใครที่ประชาชนรู้จักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา ละครหรือไม่ก็เป็น คนที่เด่นจริง ๆ แต่ว่าไม่ใช่ว่าที่เมืองนอกเค้าจะไม่มี อย่างนี้นะฮะ มีนะฮะ แต่คือเค้ามีหมดทุกอย่างแบบบ้านเราเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็มี อย่างบริษัทที่ทําเพลงของ ไคลี มีน็อก, เจสัน โดโนแวน, และอีกหลาย ๆ วงเค้า ก็จะเป็นยังงี้ คือจับคนที่ดูดีเอามานี้ แต่งเพลงให้ เลยอะไรง แต่ว่ามันก็มีอีกกลุ่มที่เล่นดนตรีมาตั้งแต่ เดือนละ 40 เหรียญ จนกระทั่งมีแมวมองมาเห็นเข้า อะไรอย่างนี้
เบิร์ดกะฮาร์ทนี้ขอเป็นอย่างหลังดีกว่า
ก็ขอเป็นอะไรที่เป็นตัวเราเอง ผมยังเสียดาย บริษัท ไนท์สปอร์ต ที่เราเริ่มต้นที่นั้น แต่ก็อีกล่ะ นะฮะ บริษัทถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะไม่รอด ในเมื่อ ไม่คิดถึงการตลาดกัน ทําแต่เอากล่องอย่างเดียว เงิน มันก็หมดกันได้ อย่างในท์สปอร์ตนี้จะเป็นแบบโอด ผมยอมรับว่าคุณทําเพลงได้ไปทํามาเลย เราจะไป ทําอะไรยังไง เค้าไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวตรงนั้นเลย ไม่เคย มีใครมาชี้ว่าคุณต้องร้องเพลงนี้อย่างง ๆๆๆๆ อันนี้ ผมก็ติดนิสัยนี้มาเหมือนกัน ซึ่งมันเป็นนิสัยที่เสีย สําหรับวงการในวันนี้ (หัวเราะ)
เจออย่างนี้แล้ว รู้สึกท้อบ้างมั้ย
(ยิ้ม) แต่มันก็ต้องมีขึ้นมาล่ะนะฮะ ถ้าไม่มี ก็คงลําบาก เพราะเชื่ออย่างว่าคนฟังเพลงเนี่ยเค้าจะ ไม่รู้จักเพลงดี ๆ ถ้าเค้าไม่เคยได้ฟัง เค้าจะไม่มีสิ่งเปรียบเทียบ ให้ตัดสิน มันก็ลำบากตรงนั้นเหมือนกัน ก็ถึงบอกไงว่า ฟังดูแล้วมันเป็นตัวเรา ที่ฟังดูแล้วมัน อาจจะไม่ดีเท่าคนอื่นเค้า อ้อ มีวันหนึ่งที่เข้าไปเสนองานที่บริษัทหนึ่ง เค้าพูดถึงเนื้อเพลงมันไม่ทันสมัย ก็อาจจะใช่นะฮะ แต่ไม่ได้หมายความว่าเนื้อเพลงของ เรามันไม่ดีนะฮะ เพียงแต่ว่าคนเค้าชินกับการได้ยิน ถ้อยคําอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าจะบอกว่าของเราไม่ดีเท่า.. ผมไม่เชื่อฮะ ผมว่ามันแล้วแต่ เพราะเค้าไม่ชินกับคํา อย่างนี้มากกว่า เรา
แล้วเบิร์ดคิดว่ารสนิยมในการฟังเพลงของ คนไทยทุกวันนี้ชอบแบบไหน
ผมมาอยู่เมืองไทยนาน ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าเออ คนไทยชอบแบบนี้นะ ต้องเป็นประโยคที่ได้ความเลย อย่างของอ้อมถอยดีกว่า พลิกล็อคกลับดึก หรือ อะไรสักอย่างที่เป็นธีม (THEME) เป็นเรื่องไปเลย ซึ่งเพลงของผมบางทีมันจะไม่มีอย่างนั้นนะ เราก็จะ ร้องไปเรื่อย ๆ
และเท่าที่สังเกตเพลงส่วนใหญ่จะมาจากแรง บันดาลใจ
ใช่อะ ส่วนมากจะเป็นอย่างนั้น
แล้วชุดนี้จะมีเพลงที่เป็นชื่อผู้หญิงมาอีกรึเปล่า เพราะทุกชุดจะไม่พลาดเลยนะ
จริงๆ แล้วมีฮะ (ตอบยิ้ม ๆ) แต่ว่าโดนฮาร์ท ดึงออกไป ฮาร์ทเค้าขอให้ดึงออก แต่เค้าคงไม่ได้ คํานึงว่าทุกชุดมีแต่ชื่อผู้หญิง อาจจะคิดว่าดนตรี อาจจะไม่เหมาะก็จะไม่ค่อยมายด์ ไม่ค่อยเถียง หรือ บางที่ฮาร์ทเค้าจะคิดว่า เพลงมันดีเอาไว้ชุดหน้าดีกว่า (หัวเราะสนุกสนาน) แต่เพลงดีนะ ชื่อเพลง ขัตติยา ก็เป็นเพลงที่ผมคิดว่าเพราะดีนะฮะ ก็เลยเก็บไว้คราวหน้าคงได้ยินกัน
แต่เบิร์ดกะฮาร์ทออกคอนเสิร์ตก็คงได้ยินแล้วมั้ง เพราะเห็นชอบเล่นเพลงที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ ในคอนเสิร์ตนี้
(หัวเราะ) ก็หวังว่าจะมีคอนเสิร์ตนะ เพราะ ถ้าเทปไม่ดังก็คงไม่มีคอนเสิร์ต แต่ช่วงนี้ก็ต้องรอ ไปก่อนล่ะ ซึ่งผมก็ต้องอยู่เมืองไทยรอด้วยเหมือนกัน พรุ่งนี้ฮาร์ทก็จะบินกลับมาแล้วล่ะ (ตอนคุยกับเบิร์ด นั้นฮาร์ทยังไม่กลับมาจ๊ะ)
อ๋อ….ตอนที่เบิร์ดกลับมานี้ได้ข่าวว่ากลับมาก่อน สงครามอ่าวเปอร์เซียเกิดวันเดียวเองใช่มั้ย
ฮะ
คนอเมริกันตื่นตัวเรื่องนี้ยังไงบ้างรึเปล่าฮะ
มันอยู่ไกล มันไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่ แต่เค้าก็ตื่นตัวกันเหมือนกัน แต่เป็นเปอร์เซนต์ที่น้อย สําหรับคนที่ไปรบ
แล้วเบิร์ดไม่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทางกลับบ้านของตัวเองบ้างเหรอ
มีฮะ มีครับ เพราะเค้าประกาศเลยด้วยซ้ำว่า เดินทางช่วงนั้นไม่ค่อยดี แต่ส่วนมากจะเกี่ยวกับทางยุโรปมากกว่า ทางเอเซียไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ พวกผู้ก่อการร้ายนี้จะอยู่ทางยุโรปมากกว่า เพราะฉะนั้น คนจะไปยุโรปน้อยมาก แต่ตอนที่ผมจะกลับมานี้ ยังไม่รู้เลยนะว่าสงครามจะเกิด แต่ในใจผมนั้นเชื่ออยู่ตลอดว่าต้องเกิดแน่ ๆ เพราะถ้าตามข่าวมาตลอด จะเดาออกว่าเกิดแน่ ๆ คนอเมริกันจะรู้ว่า ผู้นําของ ตัวเองคิดอะไร
แต่คิดว่าเบิร์ดคงรู้จิตใจของคนอเมริกันดี เพราะ อยู่ที่นั่นตั้งแต่เด็ก ๆ
ฮะ ก็พอจะรู้บ้าง เพราะผมอยู่ที่นี่มา 10 ปี ตอนเด็ก ๆ นี้อยากผมทอง ตาสีฟ้า (เบิร์ดพูดลอย ๆ เหมือนคนกําลังนั่งฝันก็เลยได้ขำกับภาพที่เห็นและ เรื่องราวที่เค้าเล่า)
อยากเป็นคนอเมริกันจริง ๆ เลย…
(พยักหน้าตาละห้อย) มันรู้สึกเหมือนเรา แตกต่างจากเค้าน่ะ ทั้ง ๆ ที่เราไปเที่ยวนี้ เราพูด เหมือนเค้า ตลกกับโจ๊กเค้า กินข้าวเหมือนเค้า แต่เดินไปไหนนี้เราจะไม่เหมือนเค้า ทั้ง ๆ ที่อยู่ในกลุ่มเด้า เป็นความรู้สึกในตอนเด็ก ๆ พอช่วง 15-16 ปี ตอนหลังก็มาคิดว่าเราก็ใช่ฝรั่งนี้ ก็เลยหาอะไรที่มันเป็น ไทย ๆ ใส่ตัว
เด็ก ๆ นี่เบิร์ดจะอเมริกันจําเลยฮะ
อื้อฮึ ช่วง 9 ขวบ ถึง 15 ปี นี้จะไม่เจอคนไทยเลย นอกจากคนในครอบครัว แต่ภาษาไทยกับวัฒนธรรมไทยนี้ก็ใช้บ่อย ๆ เพราะที่บ้านยังเป็นอะไรแบบ ไทย ๆ อยู่ แต่ความรู้สึกตอนนั้นนี่คิดว่าตัวเองเป็น อเมริกันนะ ภาพเก่า ๆ ตอนเด็ก ๆ ก่อนไปเรียนที่โน่นนี่ จึงได้ไม่กี่ภาพหรอกในเมืองไทย แต่ทํายังไง เราก็เป็นอเมริกันไม่ได้ไง พอโตขึ้นความคิดที่อยากเป็นคนไทยมันก็เลยมีขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกงง ๆ นะกว่าจะค้นพบตัวเองว่าเราไม่ใช่อเมริกัน เราเป็น คนไทย (เบิร์ดเล่นความหลังแบบข้าตัวเองในที) ตลกมากเลย..จนได้กลับเมืองไทยอีกทีก็ช่วงที่ทําเทป เบิร์ดกะฮาร์ทชุดแรกนั้นแหละ
แล้วพอได้กลับบ้านครั้งแรกหลังจากจากไปซะ นานแล้วละฮะรู้สึกยังไง
รู้สึกว่าตัวเองมาเที่ยว จริง ๆ แล้วอยากมาเที่ยวไง เพราะหลังจากเรารับสภาพ ก็พยายามอ่าน หนังสือไทย อ่านนิยายไทย คือเรามีเบสิคภาษาไทยแล้ว อ่านยังไง เขียนยังไง แต่ช่วงแรก ๆ นี้เขียนไม่คล่องเลย มาคล่องก็ตอนตอบจ.ม.แฟน ๆ นี่แหละ ก็ต้องบอกว่าขอขอบคุณแฟนเพลงที่เขียนจม.มาหา ทําให้เขียนภาษาไทยคล่องขึ้น (หัวเราะ)
มาเมืองไทยใหม่ ๆ นี่ก็จะได้ยินเค้าพูดว่า ก๋วยเตี๋ยวอนุสาวรีย์อร่อย เอ๊ะ เป็นยังไงไม่เคยกิน เค้าก็จะเล่าว่าหัวหินสวยนะ เกาะเสม็ดสวย ภูเก็ตเป็นอย่างนี้นะ เหมือนเราเป็นนักท่องเที่ยวน่ะ พอดีช่วง นั้นฮาร์ทเค้าจะกลับมาด้วย ก็เลยเอาเพลงมาเสนอ เลยมาเที่ยวด้วย แล้วเสนองานเป็นผลพลอยได้ จริง ๆ แล้วผลงานชุดแรกนั้นไม่ใช่ของผมกับฮาร์ท 2 คนนะ แต่เราทํากัน 4 คน มีผม มีฮาร์ท มีโจ๋ มีจ๋ำ นั่นคือ วงแรกเลย 4 คน แต่พอมาจริง ๆ อะไรมันก็เร็วมาก พอเราไปเสนอไนท์สปอร์ต แล้วเค้าเอาเพลงเราไปเปิด ออกอากาศรายการโลกสวยด้วยเพลงเป็นครั้งแรก ก็ไม่รู้จะเอาชื่อวงอะไร ใครเล่น พอเค้าดูว่าเพลงเกือบทั้งหมดเรา 2 คนแต่ง แต่ไม่มีชื่อวง เลยกลายเป็นเพลง ของ 2 หนุ่ม เบิร์ดกะฮาร์ท ซึ่งมันเป็นอะไรที่ง่ายมาก ติดเลย เพราะสมัยนั้นจําได้ว่า ยังไม่มีชื่อวงดนตรี หรือศิลปินที่เป็นชื่อเล่นสมัยก่อนเค้าไม่ใช้ชื่อเล่นกัน แล้วปรากฏว่าได้ทําเทปเลย แต่ปรากฏว่าโจ กับจํา มาไม่ได้เลยเป็นแค่ 2 คน
เอาผลงานมาเสนอครั้งนั้น ตั้งความหวังไว้แค่ไหน ว่าจะได้รึไม่ได้
ตอนนั้นตั้งความหวังสูงนะ จําได้ว่าจอย เพราะว่าเพลงเราเจ๋ง แต่เค้าปฏิเสธเรามั้ง แต่พอเค้าเอาไปเปิดออกรายการวิทยุ คนกลับชอบ ซึ่งเราก็แอบโทรไปขอเพลงตัวเอง อย่างนี้ก็เคยนะฮะ (หัวเราะ) แต่ก็เซอรไพรส์ว่ามีคนขอเพลงเราเยอะทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ออกเทป จนกระทั่งเพลงของเราติดอันดับ 1 ก็เลยได้ออกคอนเสิร์ต กับศิลปินในค่ายในท์สปอร์ตที่มีมาก่อนแล้ว แต่ปรากฏว่าคนที่มาดูธเนศ ดูมัม ลาโคนิค ดูปานศักดิ์ เค้าก็ร้องเพลงเราได้หมด โดยที่เรายังไม่มีเทปเลย เค้าก็เลยให้มาเห็น สัญญาทําเทปเลย เร็วมาก
จากตรงนั้นก็เลยทําให้เบิร์ดต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่างอเมริกา กับเมืองไทยบ่อยขึ้น เพราะมาทํางานเพลงที่นี่
ฮะ แต่จริง ๆ แล้วเบิร์ดอยากอยู่เมืองไทยนะ แต่รู้ว่าที่เมืองไทยนี่เป็นอะไรที่นอกจากจะมีเงินแล้ว คงต้องมีการศึกษาที่มันสูง ๆ ด้วย เรากลับ เมืองไทย นี่คิดว่าจะทําธุรกิจอะไรก็ได้ แต่ว่าคิดว่าคงจะต้องเรียนปริญญาโทให้มันจบก่อน ความรู้สึกที่อยากจะอยู่เมืองไทยนี้ เกิดมาจากความรู้สึกที่ว่าเราจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงไทย ผมมีแฟนฝรั่งมาหลายคนแล้ว แต่เข้ากันไม่ได้เลย ความเป็นอยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราเคยชินในครอบครัวเราตามวิถีชีวิตของคนไทย เรื่องตัดเล็บนี้ หรือการเล่นหัว หรือการใช้เท้าเปิดทีวีนี้มันเข้ากันไม่ได้ มันสะดุดนะถ้าเราเจออะไรที่ไม่ใช่คนไทย ในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะฉะนั้นผมจึงเชื่อว่าผมเป็นคนไทย เพราะจริง ๆ แล้วการอบรมในเรื่องวัฒนธรรม การเป็นอยู่นี้พ่อแม่สอนผมให้เป็นคนไทยตลอด ถึงแม้นอกบ้านจะเป็นฝรั่งหมด แต่เข้าบ้านผมจะเป็น คนไทย ความรู้สึกที่อยากเป็นอเมริกันนั้นมันก็เกิดเฉพาะตอนเด็ก ๆ เท่านั้นเองที่เห็นคนรอบข้างเป็น อเมริกันหมด ก็อยากจะเป็นบ้างอะไรยังนั้นมากกว่า
คิดไว้ว่าอีกนานเท่าไหร่เบิร์ดถึงจะกลับมาอยู่ เมืองไทยจริง ๆ
คิดว่าสักอีก 2 ปี อันนี้ตอนก่อนไปเราขายบ้านหมด ถ้าเราจะกลับมาเราก็ต้องพร้อมทุกด้าน ซึ่งก็คิดว่า 2 ปี แล้วนี่ผมก็เตรียมตัวเพื่อที่จะกลับมา
แล้วเบิร์ดจะทําอะไรถ้าอยู่เมืองไทย เป็นงาน ธุรกิจหรือว่าด้านเสียงเพลง
จริง ๆ แล้วอยากทําบริษัทโฆษณา หรือไม่ก็พวกการตลาดอะไรสักอย่าง แต่จริง ๆ แล้วเรามีความรู้ด้านเทปเยอะ หรืออาจจะมาทําโปรโมชั่นให้กับ บริษัทเทปก็ได้ กันหลายๆ อย่างที่คิดไว้ แต่คงจะเกี่ยวกับการตลาด ซึ่งถึงเวลานั้นงานด้านร้องเพลงคิดว่า คงจะต้องหยุดทํา มันจะขัดกัน คือช่วงนี้ที่เราทําได้ เพราะว่าธุรกิจที่เมืองนอกนี่มันเป็นของเราเอง เรา สามารถควบคุมได้ แต่ถ้ามาอยู่เมืองไทย เราทํางาน ให้ใครสักคนเป็นลูกจ้างเค้า ก็จะทุ่มเทให้กับบริษัท นั้น 100% นะฮะ ไม่ใช่จะมาขอหยุดงาน 2 เดือน ไปทําเทปอย่างนั้นไม่ใช่คงจะเป็นการทํางานอย่าง จริงจังไปเลย
จะทิ้งงานเพลงลงคอเชียวหรือ
ยิ้ม…เราเคยร้องเพลง ถึงตอนนั้นก็อาจจะ แต่งเพลงให้คนอื่นร้องบ้าง เราอาจจะไม่ร้องเองแล้ว อาจจะทําให้คนอื่นแล้ว ถ้าเราต้องทํางานควบคู่ ไปด้วย
แต่ช่วง 2 ปีที่ยังเหลือเรายังคงจะได้ยินผลงานคุณภาพจากหนุ่มนี้พร้อมเพื่อนฝูงที่มุ่งมั่นในงานดนตรีอีกแน่นอน ก่อนที่พวกเขาจะก้าวจากไป สู่หนทางที่เลือกสรรแล้ว แต่หนทางที่ว่านั้นอาจจะ ย้อนมาสู่เส้นทางนี้อีกครั้งก็ได้ ใครจะไปรู้
อ้อ..ว่าแต่ว่าอย่าลืมตามไปให้กําลังใจใน ผลงานชุดใหม่ของเบิร์ดกะฮาร์ทที่พวกเขาเอามา ฝากด้วยล่ะ
Leave a reply