มีคนทำเพลงหลายประเภท แต่ก็มีประเภทหนึ่งซึ่งไม่ชอบคิดเอง
แต่ไปยืมของชาวบ้านอื่นเมืองอื่นเขามา มีคนฟังเพลงหลายประเภท
แต่ก็มีประเภทหนึ่งคอยแต่นั่งจับว่าคนไหนทำเพลงไม่ได้คิดเอง
แต่ไปยืมของชาวบ้านอื่นเมืองอื่นเขามา
……….มีคนทำเพลงหลายประเภท แต่ก็มีประเภทหนึ่งซึ่งไม่ชอบคิดเอง แต่ไปยืมของชาวบ้านอื่นเมืองอื่นเขามา มีคนฟังเพลงหลายประเภท แต่ก็มีประเภทหนึ่งคอยแต่นั่งจับว่าคนไหนทำเพลงไม่คิดเอง แต่ไปยืมของชาวบ้านอื่นเมืองอื่นเขามา
……….ปัญหาก็คือ อะไรคือคล้ายคลึงเพลงจีน อะไรคือเพลงฝรั่ง อะไรคือลอก อะไรคือยืม อะไรคือดัดแปลง อะไรคือได้แรงบันดาลใจ อะไรคือศิลปะ อะไรคือธุรกิจ และอะไรเป็นอะไร
……….ตั้งแต่ระยะที่ผ่านมานี้ ใครๆ ก็อยากอัดเทป ใครๆ ก็อยากเป็นศิลปิน พยายามทุกอย่าง ตั้งแต่สมัครประกวดร้องเพลงทั้งหลาย จนกระทั่งใช้เส้น ก็เพราะเงินมันดี ชื่อมันดัง ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ตัวนักร้องเท่านั้น ผมพูดรวมไปถึงบริษัทโปรโมทเทปและธุรกิจข้างเคียงอื่นๆ ในแต่ละเดือนเงินหมุนกันเป็นสิบล้านร้อยล้าน รวยกันจริง
……….เพราะฉะนั้นเมื่อกลิ่นแบงก์หอมกว่ากลิ่นเนื้อสาวไหนๆ ก็ตาม ธุรกิจเป็นใหญ่ ยิ่งมีปริมาณเทปออกมายิ่งมากก็ยิ่งดี ยิ่งรวย
……….ในประเทศนอกนั้น ศิลปินเพลงคนไหน กลุ่มไหนออกเทป ออกแผ่น อัดอัลบั้มอะไรก็ไม่รู้ละ ยิ่งใช้เวลานานก็ยิ่งเป็นระดับยิ่งใหญ่ คือเป็นโปรเฟสชันนัล(ภาษาไทยก็มี แปลว่า อาชีพ) ใครออกปีละ 2 ชุด ถือว่ากำลังดี ใครออกปีละชุด เริ่มไม่ค่อยเอาจริงเอาจัง ส่วนใครออก 2 – 3 ปีชุดนี่ ทางบริษัทเทปถือเป็นตัวกาลกิณี
……….เพราะฉะนั้นในประเทศนี้ ยิ่งมีเพลงมากยิ่งดี เมื่อมีคนทำเพลงเท่าเดิม สมองเท่าเดิม แต่จะเอาเพลงมากขึ้น มีนักร้องมากขึ้น คนทำเพลงก็เริ่มมีขนาดศีรษะโตขึ้น พูดจาไม่รู้เรื่อง จนถึงขั้นลืมญาติสนิทเอาได้ง่ายๆ ยาแก้อาการนี้ที่ชะงัดก็คือ ยาดีต้นตำรับจากญี่ปุ่น คือ เปิดเค็ตตาล็อกของชาวบ้านอื่นเมืองอื่น ชอบใจอันไหนก็ชี้เอาแล้วก็ทำตาม เหมือนเลือกแบบบ้านในหนังสือฝรั่งให้ผู้รับเหมาสร้างตามยังไงยังงั้น และนี่คือที่มาของเรื่องที่พยายามจะคุยในครั้งนี้ไงล่ะครับ
……….ปฏิกิริยาที่ผู้ฟังเพลงจะเกิดเมื่อได้ยินเสียงเพลงนั้นก็มีหลายแบบ บางท่านก็กระดิกเท้า บางท่านก็หัวเราะ บางท่านก็บอกว่าเพราะ บางท่านก็บอกไม่เพราะ แต่มีปฏิกิริยาอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ และเป็นจุดที่สนุกสนานมากเมื่อได้รู้สึกสนุกกว่าการได้ฟังเพลงนั้นอีก ก็คือ “เอ๊ะไอ้เพลงนี้มันคุ้นหูนะ” “อ๋าย….ไอ้นี่มันลอกเพลงฝรั่งมาทั้งดุ้นเลย” โอ้โห…ดนตรี..แม่ม…ไอ้พอล ยัง ชัดๆ” หรือ “เฮ้ย มีงฟังสิ…ตรงนี้บ๊อบ มาเล่ย์ ตรงนี้คาสิโอเปีย ตรงนี้สดใส ร่มโพธิ์ทอง ว่ะ” ฯลฯ
……….ทีนี้ก็จะเกิดความเป็นปฏิปักษ์กันในสองฝ่ายสำหรับเรื่องนี้ ก็คือคนทำเพลงกับคนฟังเพลง ส่วนผมในฐานะนักวิจารณ์ก็ต้องทำตัวเป็นกรรมการโดยไม่ต้องมีใครเชิญ เพราะจริงๆ แล้วก็รำคาญและเห็นใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย…เมื่อพูดหยั่งงี้ ผมก็จะต้องให้ข้อมูลที่ผมกุขึ้นเองเกี่ยวกับเรื่อง “ศิลปะแห่งการหยิบยืม” มาเสียหน่อย
……….มีใครก็ไม่รู้คิดคำเก๋ๆ ขึ้นมาได้วลีหนึ่งว่า “การยืมความคิดของใครมาแต่เพียงเจ้าเดียวคือการลอก แต่การยืมความคิดของหลายๆ เจ้าคือการค้นคว้า” นั้นแสดงว่าการลอกเลียนหรือการหยิบยืมทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ มีมานานเต็มทีแล้ว และดูเหมือนจะมีทุกแขนงด้วย ตั้งแต่การลอกเลียนธรรมชาติของคน เลียนเสียงสัตว์ เสียงฟ้าผ่า ลมพัด จนกระทั่งมีภาษามีวัฒนธรรม ก็มีการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนกันใช้ อย่างเรื่องภาษานี่ ถ้าคนไทยสมัยพ่อขุนรามคำแห่งมาฟังภาษาเดี๋ยวนี้ ประเภท อภิเชษฐ์ หรือซ่าส์ อะไรพวกนี้ ควรจะคิดว่าเกิดผิดประเทศ เพราะภาษาไทยเราเองก็ยืมเจ๊ก แจก ฝรั่ง เขมร โปรตุเกส ฯลฯ เอามาแทบทั้งนั้น
……….เอาให้ตรงเป้า ก็เรื่องดนตรีเรื่องเพลงนี่ ทุกประเทศมีการหยิบยืมกันทั้งภายในและภายนอกประเทศ (Inport & Export) ผมเชื่ออย่างนั้น ชั่วแต่ว่าจะหยิบยืมอย่างมีศิลปะแค่ไหน…เอาไปใช้ดื้อๆ หรือดัดแปลงใช้ เช่นเพลงไทยเดิมของเราก็เอาอารมณ์ของพม่า ลาว จีน แขก ฯลฯ มาผสมผนวกได้อย่างสวยงาม เป็นต้น หรือ..ให้ชัดๆหนักก็เช่น เพลงไทย “ม่านไทรย้อย” นี่ก็เป็นทำนองของเพลงคลาสสิกเพลงหนึ่ง ซึ่งเมื่อฟังเพลงไทยแล้วก็เป็นได้แนบเนียน ไม่เคอะเขิน ฟังเพราะดีเสียอีก และก็เป็นเพลงอมตะพอๆ กับเพลง “จันทร์กระจ่างฟ้า” ที่ใช้ทำนองยิปซีมูนของฝรั่ง ซึ่งก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร เพราะว่าเมื่อเสร็จออกมาแล้ว มันมีศิลปะในการหยิบยืมอยู่นั่นเอง แม้กระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ ก็มีคนเอามานินทาให้ฟังว่า เพลงชาติไทยเรานี่แหละ เหมือนเพลงมาร์ชอะไรสักอย่างของฝรั่งเศสหรือออสเตรียแถวๆนี้ ผมก็เลยอ่อนใจ ไม่รู้จะแคลงใจหรือเห็นใจคุณพระเจนดุริยางค์ท่านดี
……….กลับมาเรื่องศิลปะการหยิบยืม มันก็มีระดับต่างกันไป ตั้งแต่มีศิลปะที่สุด จนถึงไร้สติและหิริโอตตัปปะที่สุด ซึ่งจากที่ผมคิดเอง (ใครไม่เชื่อก็ช่าง….ใครเชื่อก็ไม่มีประโยชน์…เอ้อ..)ก็มีดังนี้
……….1.การได้แรงบันดาลใจอย่างไม่ตั้งใจ เกิดจากประสบการณ์ลึกๆ ของผู้แต่งที่ได้ยินมาได้ฟังมา แล้วก็ออกมาในงานเพลงอย่างไม่รู้ตัว ทำให้คนฟังเกิดอาการคล้ายๆ คุ้นๆ แต่นึกไม่ออกซะทีว่ามันคล้ายเพลงอะไรนั่นแหละครับ ซึ่งมักจะเกิดบ่อยกับแนวเพลงป๊อป ไม่ว่าจะเป็นบ้านเราหรือบ้านเขา เพราะเพลงป๊อปมีโจทย์ตายตัวอยู่ว่า ต้องเป็นเพลงที่เข้ากับหูคนฟังส่วนใหญ่ จะได้ไม่ต้องฟังดูแปลกประหลาดจนรับไม่ได้ ซึ่งการเขียนเพลงป๊อปนี้ไม่มีทฤษฏีสอนกันไว้ว่าเป็นแบบไหน เพลงทุกๆแนวก็มีสิทธิ์จะเป็นเพลงป๊อป ก็คือการเดาใจคนฟัง ก็ต้องอาศัยประสบการณ์การฟังของหูผู้แต่งเท่านั้น เพลงไหนยิ่งฮิตก็ยิ่งจะมีอาการฟังแล้วคุ้นหู จำง่าย เพราะเคยชิน บางทีก็เดาทำนองออกได้เลย บางครั้งก็ถึงขั้นคล้ายจะเคยฟังมาจากไหน แต่จริงๆแล้ว มันก็คือประสบการณ์ที่สะสมอยู่ในหูของเราตั้งแต่เกิดมานั่นเองแหละครับ ไม่เชื่อก็ลองไปฟังดู
……….2.พวกที่ตั้งใจยืมมาเลย แต่พยายามดังแปลง บางครั้งการขอยืมทำนองเจ๊ก แขก ฝรั่ง มาอย่างชัดๆ ไม่ว่าจะทั้งท่อน ทั้งเพลง หรือบางช่วง ก็เป็นการทดลองอะไรบางอย่าง ตั้งแต่ทดลองเพื่อหาความรวย แต่จะออกมาดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ความแนบเนียนอย่างที่ว่าแหละครับ รวมทั้งความประณีตในการลอกสรร การตกแต่งให้สละสลวยเหมาะสำหรับผู้ร้อง ไม่ใช่พยายามขืนให้เหมือนต้นฉบับทั้งดุ้น และสุดท้าย คือ ควรยอมรับและประกาศว่าตนเองเอาต้นฉบับมาจากไหนอย่างหน้าชื่นตาบาน ไม่ใช่หน้าทนประกาศว่าฉันคิดเอง ทำนองขอฉัน…อย่างนี้ก็จัดว่าเป็นคนไม่น่าคบ
……….การยืมในลักษณะนี้อาจจะยืมในลักษณะโครงสร้างของเพลง ทางเดินของคอร์ด โครงสร้างของทำนอง จังหวะสีสันของดนตรี รวมทั้งสำเนียงที่ออกมา…อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด…แต่มีข้อแม้ว่า ฟังแล้วให้มันดีก็แล้วกัน และอีกอย่างคือ ให้ดูว่ามีฝีมือในการดัดแปลงเท่านั้นก็พอ
……….3.พวกลอกลูกเดียว พวกนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงมากนักหรอก เพราะวัตถุประสงค์ คือ เพลงฝรั่ง จีน อันไหนฮิตก็ชัดเลย เอาตีหัวเข้าบ้านลูกเดียว พวกนี้กระจอกครับ
……….ทีนี้ประเภทของคนทำเพลงและคนฟังเพลงก็มีอยู่มากมาย ทั้งที่น่าคำคาญและน่าเห็นใจ อย่างที่บอกมาแล้วอย่างที่น่ารำคาญก็เช่น คนทำเพลงประเภทสุดท้ายนั่นแหละ คือทำให้วงการเพลงไทยเราเกิดมลภาวะ เพราะความมักง่าย ส่วนคนฟังเพลงประเภทที่ผทรำคาญ คือ คอยแต่จับผิดและอวดรู้ว่า ฮี่โธ่เอ๊ย ไอ้เพลงนั้นมันเอามาจากเพลงนี้นี่…ข้ารู้ ซึ่งบางทีก็กลายเป็นเรื่องบ่องตื้น
……….อย่างที่น่าเห็นใจก็คือ คนทำเพลงที่เป็นประเภทที่สอง…ประเภทแรกนั่นน่าเห็นใจกว่า เพราะเขียนเพลงขี้นมาหวังจะให้คนชอบอย่างบริสุทธิ์ใจ จะไปพ้องกับใครบ้างก็ถูกหาว่าลอก…โธ่…โน้ตเพลงในโลกนี้มีอยู่เจ็ดตัว ส่วนเพลงมีเป็นล้านๆ มันไม่ซ้ำกันบ้างก็บ้าละ ทีนี้ยิ่งเป็นแนวป๊อปก็ยิ่งมีแนวการเรียงร้อยโน้ตอยู่ไม่กี่แนวหรอกที่คนฟังจะชอบใจ
……….ประเภทที่สองก็ไม่ถึงกับน่าเห็นใจ แต่ก็ไม่ถึงกับน่าถูกตำหนิ โดยเฉพาะพวกที่ยอมรับว่าตัวเองลอกเขามา ไม่ว่าเพื่อลองความรู้ใหม่ๆ หรืออยากได้เงินก็ตาม
……….ส่วนคนฟังเพลงส่วนใหญ่นั้นน่าเห็นใจอยู่แล้ว เพราะคือผู้รับที่ปฏิเสธไม่ได้ สิ่งแวดล้อมด้วยเสียงเพลงนั้นกรอกหูอยู่ทุกวัน ถ้าเป็นเพลที่น่ารำคาญและไม่ก้าวหน้าเสียทั้งหมด คนฟังก็จะเป็นอยู่ 2 อาการ คือ..ไม่บ้าก็โง่..ไม่มีทางเลือกอื่น
……….ถ้าขอจากสวรรค์ได้ ก็จะขอให้ไม่มีการลอกเลียนเพลงจากต่างประเทศ แต่มันก็เป็นไปได้ยาก ก็พอแต่เพียงว่า ถ้าจะลอกหรือยืมมาก็ทำให้มันมีศิลปะหน่อย ส่วนคนฟังก็ขอเพียงอย่าฟังเพลงในแง่ร้ายเกินไป จะได้ไม่คิดอะไรมาก
……….แต่อย่างไรก็ตาม คนฟังที่เขาอยากจะคอยจับผิดก็คงทำอยู่ร่ำไป ใครจะทำไม คนทำเพลงที่จะลอกเขามาก็ยังทำต่อไป..ใครจะทำไม และผมก็ต้องทั้งรำคาญและทั้งเห็นใจอยู่ต่อไป….
……….อ้าว….ใครจะทำไม
น. ห่อนาค
ในนิตยสาร นะคะ (นะครับ) ฉบับ 26 เม.ย. ปี 2530
Leave a reply