สองสาวที่วัยไม่น่าจะจะไกลห่างกันเท่าไหร่ จาก 2 สังกัด ที่กลายมาเป็นคู่บนแผงเทปที่สมน้ำสมเนื้อสมราคา เหมือนมวยถูกคู่ พอๆ กับคู่ก่อนเวลาอย่าง อ้อน กับ บี น้ำทิพย์ ที่ออกมาแลกหมัดกันเป็นประเดิม
เพราะนอกจากตัวต้นสังกัด จะมีขนาดพอฟัดพอเหวี่ยง(อย่าลืมว่าที่สุดแล้ว มอร์ มิวสิค ก็อยู่ในชายคาของ แกรมมี่) ทั้ง 2 คนต่างก็เป็นคนที่เรียกว่านักร้องได้เต็มปากทั้งคู่ หนุ่ย หรือ นันทกานต์ อาจจะมีชั่วโมงบินมาบ้างกับการออกเทปเดี่ยวใช้ชื่อ เอสเตอร์ และในนามของ โอ้โฮ วงดนตรีอายุสั้นอีกวงหนึ่งของบ้านเรา ส่วนสาว ธนพร ก็มีประสบการณ์มาพอตัว และมีเสียงร้องประสานในอัลบั้มของหลายศิลปิน แต่เพิ่งจะมีงานออกมาเป็นตัวเป็นตนกับเขาก็คราวนี้
นันทกานต์ อาจจะเป็นต่อตรงที่ได้ขลุกกับการทำงานที่เธอมีเครดิทในส่วน แต่งเนื้อร้อง 4 จาก 10 ขณะที่ ธนพร ไม่มี แต่ประสบการณ์และชั่วโมงบินก็ช่วยอะไรใครไม่ได้ เมื่อมาถึงแผงเทป และรูหู ทั้งคู่ต่างก็ต้องเริ่มจากศูนย์เหมือนๆ กัน
แม้ภาคดนตรีของ นันทกานต์ จะเนี้ยบกว่าในเรื่องของซาวน์ด และมีความชัดเจนในทิศทางการทำงานมากกว่า เพราะทุกเพลงบอกออกมาโต้งๆ ว่าเธอจะเป็นร็อค ไม่ว่าจะเป็นบูกี้, บัลลาด หรือร็อค แอนด์ โรลล์ ล้วนมีอยู่ใน Inside Out ส่วนของ ธนพร ถึงจะไม่ใช่งานหนุงหนิง แต่ทิศทางในหลายเพลงก็แสดงอาการแกว่ง เหมือนทีมงานไม่รู้จะจับเธอไปวางตรงไหนดี เพราะนอกจากเพลงป็อปหวานเศร้า ก็ยังมีเพลงในทางของแด๊นซ์ที่หยอดไลน์ร็อคลงไป คล้ายๆ งานของ คริสติน่า อากีลาร์ ยุคแรกๆ นับว่าโชคดีที่โทนรวมของอัลบั้มยังคุมไว้อยู่ ไม่ถึงกับหลงไปไกลจนกู่ไม่กลับ
แต่ที่แน่ๆ งานของทั้งคู่ต่างก็ขาดความเป็นต้นแบบ 100% โดยเฉพาะ Inside Out หากนับเป็นอิทธิพล ก็นับว่าเธอและทีมงานฟังเพลงได้หลากหลายดีแท้ มีตั้งแต่ ดิ อีเกิ้ลส์ มาจนถึง โนเด๊าบ์ท ส่วน ธนพร เธอก็พาเรานึกถึง โจน ออสบอร์น ตั้งแต่เพลงแรก ส่วนอีกหลายเพลงก็อยู่ในอารมณ์เดียวกับงานของ โบ สุนิตา เช่น “ไปดี…มาไม่ดี” หรือ “ศรีษะมันรั้น” ก็ไม่ต่างจากเพลงฮิทปีที่แล้วของ อาร์.เอสฯ. อย่าง “ไอ้ปี๊ด”
มองแบบปลงๆ วงการเพลงบ้านเราเป็นแบบนี้มานานแล้ว แต่มันก็ยังมีอะไรที่ดีอยู่บ้าง เช่น เสียงร้องของทั้งคู่ โดยเฉพาะ ธนพร วิธีการร้องของเธอแสดงให้เห็นถึง “ความพยายามค้นหาลักษณะเฉพาะตัว” แม้เสียงของเธออาจจะเหมือนการพบกันครึ่งทาง ระหว่างเสียงร้องในแบบ ศิริพร อยู่ยอด และ โบ สุนิตา แต่ก็ถูกคุมอยู่ในโทนนี้โดยตลอด ไม่โดดไปมา เอาเป็นว่าอย่างน้อยก็คุมทางและเท็คนิคอยู่
นันทกานต์ นั้นแน่นอน-เสียงดี ไม่ต้องไปดูที่เนื้อเสียง ดูที่วิธีการร้องดีกว่า ในอดีตเคยมีสิ่งที่เรียกว่า แกรมมี่ ซาวน์ด และวันนี้ มอร์ มิวสิค กำลังจะทำสิ่งที่เรียกว่า มอร์ มิวสิค วอยซ์ หากไล่มาตั้งแต่ โลโซ, แบล็คเฮ้ด, ซิลลี่ ฟูลส์ หรือ โจ ก้อง ต่างมีวิธีการร้องลากเสียงที่แทบจะถอดมาจากเบ้าเดียวกัน อาจไม่ใช่ทุกเพลง แต่ก็ต้องมี 2 – 3 เพลงที่ใช้วิธีการร้องและสำเนียงแบบนี้
การได้ทีมใหม่ๆ เข้าไปทำงานเพลงให้งานของ ธนพร จึงมีลักษณะที่ต่างจากงานโดยรวมของ อาร์.เอสฯ. พอสมควร ส่วนดนตรีอาจเห็นไม่ชัด แต่ก็รู้สึกได้ ต่างกับเนื้อร้องที่น่าสังเกตว่า ในช่วงปีสองปีนี้ ถ้าไม่นับเพลงเน้นตลาดเด็ก เนื้อร้องของ อาร์.เอส. คมและมีมุมเล่นที่หลากกว่าที่เคยเป็น หาก ธรรพ์ณธร มี “หัวใจกระดาษ” ธนพร ก็มี “3 คน 2 ทาง” หรือ “ตบมือข้างเดียว” ที่ใช้ภาษาได้สนุก ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำประชดประชัน เปรียบเปรย ที่ต่างและมีชั้นกว่ายุค “ใจไม่ด้านพอ” น่าเสียดายอยู่นิดที่มีน้อย
และน่าเสียดายมากกว่ากับงานส่วนนี้ของ นันทกานต์ ทุกอย่างเป็นสูตรสำเร็จแบบเกาๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงอย่าง “โลกเราไม่เหงาเลย” ที่ดูดีในพล็อทเชิงปรัชญา แต่การเล่าเรื่องกลับทื่อและชืด ยิ่ง “Goodbye เพื่อน” นี่นิ่งไปเลย
ทั้งคู่มีทั้งข้อดีข้อด้อย nobody’s perfect ส่วนใครจะสร้างการติดตามจากผุ้ฟังแบบ “อยู่ยาว” ได้แค่ไหน ชุดหน้าก็รู้แล้ว
ที่มา : นพปฎล พลศิลป์ : นิตยสาร สีสัน ปีที่ 12 ฉบับที่ 5 ปี 43
Leave a reply