ไม่ว่าจะนักมวยหรือนักร้องนั้น…งานที่ทำออกมาเป็นเพื่อมวลชนทั้งนั้น ทำให้ตัวนักมวยหรือนักร้องเองเป็นเป้าสายตา เป้าขี้ปากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นคนของประชาชน ซึ่งก็น่าชมชื่นแทนคนของประชาชนที่ต้องพยายามฝืนใจทำบางอย่างเพื่อให้ “ประชาชน”
ไม่ว่าจะนักมวยหรือนักร้องนั้น…งานที่ทำออกมาเป็นเพื่อมวลชนทั้งนั้น ทำให้ตัวนักมวยหรือนักร้องเองเป็นเป้าสายตา เป้าขี้ปากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นคนของประชาชน ซึ่งก็น่าชมชื่นแทนคนของประชาชนที่ต้องพยายามฝืนใจทำบางอย่างเพื่อให้ “ประชาชน” ไม่ด่าว่าต้องทำดีทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ก็มีความเลวเหมือนคนธรรมดาปกติ แล้วพอวันหนึ่งเมื่อ “ประชาชน” ไม่ต้องการ ก็ไม่เห็นมีใครเหลียวแล… ตัวอย่างก็มีเยอะแยะในวงการบันเทิง โดยเฉพาะพวกดาราเก่งๆ แก่ๆ พอไม่มีใครจ้างเพราะไม่ค่อย “ปิ๊ง” แล้วก็แทบอดตาย
คำว่า “ประชาชน” ที่ผมเขียนใส่ไว้ในเครื่องหมายคำพูด แล้วดูเก๋ดีเหมือนจะมีความหมายนั้น จริงๆ แล้วมันก็มีความหมายจริงๆ คือ ถ้าเสียงของประชาชนชาวไทยห้าสิบล้านคนนั้นวัดได้ลำบาก ก็ต้องมีตัวแทน มีปากเสียง ถ้าในวงการบริหารก้คือ ส.ส. แต่ในแง่ของการบันเทิง ร้องรำทำเพลงละก็ ปากเสียงของประชาชนก็คือสื่อมวลชน… โดยเฉพาะนักวิจารณ์ทั้งหลายแหล่ ซึ่งทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าปากเสียงที่เป็น ส.ส. สักหลายร้อยเท่า
เพราะฉะนั้นที่ผมจะพูดถึงวันนี้.. ก็คือนักวิจารณ์งาน..รวม ทั้งผมเองด้วย ที่พูดออกมาดีหรือไม่ดียังไงก็โดนผมเองเข้าด้วยแหละ
น่าแปลกที่สุดที่นักวิจารณ์งานกับศิลปินมักจะไม่ค่อยลงรอยกัน ไม่รู้ทำไม มันต้องมีเรื่องคัดค้าน คัดง้างกันเสียทุกทีไป แม้ว่างานศิลปะใดๆ จะดีแสนดีก็มักจะมีคำพูดว่า “ก็ดีนะ แต่…” อะไรก็ว่าไป
บางคนที่ขี้โมโหหน่อยก็ชอบพูดว่า ไอ้พวกนักวิจารณ์พวกนี้มันดีแต่พูด ทำอะไรไม่เป็นหรอก… แน่จริงลองมาทำเองดูมั้ย หรือบางคนก็ปฏิเสธ ไม่สนใจ ไม่รู้จัก ไม่รับรู้ ว่ามีนักวิจารณ์อยู่ในโลก คือกูจะทำอะไรกูก็ทำ ว่างั้นเรียกว่าเขี่ยนักวิจารณ์ออกนอกวงโคจรศิลปะกันเลยทีเดียว แต่จริงๆ แล้วมันก็น่าจะเป็นอย่างที่ผมจั่วหัวเรื่องไว้ คือ ไอ้ที่ทำก็ตั้งหน้าทำกันไปเหอะ ไอ้ที่มีหน้าที่วิจารณ์หรือด่าก็ทำไป มันก็เหมือนมีรัฐบาลก็ต้องมีฝ่ายค้านนั่นแหละครับ มันถึงจะสมดุล หน้าที่ใครใครก็ทำให้ดีที่สุด ทุกอย่างมันก็สวย
มาถึงเรื่องนักวิจารณ์แบบไทยๆ ในบ้านเราให้เข้าจุดกันเลย ซึ่งก็มีหลายแบบทั้งดีและไม่ดี ก็เหมือนกับตำรวจน่ะแหละ (เอาน่า)…จะพูดถึงเรียงลำดับ ซึ่งมีเพียง 2 ข้อดังนี้
1.แบบดี คุณสมบัติก็ไม่มีอะไรมาก… ก็เป็นคนดีน่ะแหละ มีจรรยาบรรณและมีเมตตา มีความรู้ที่แท้จริง หรือถ้าไม่รู้ก็ต้องไปหาข้อมูลมาให้มีพอที่จะวิเคราะห์วิจารณ์งานใครเขาได้ ต้องรู้จักความเป็นตัวของตัวเองของเจ้าของงานนั้นๆ เข้าใจตัวงาน…ในข้อเขียนก็ควรชี้ให้เห็นทั้งจุดดีและบกพร่อง เพื่อให้แก้ไขหรือช่วยๆ กันทำให้ดีขึ้น และอีกสารพัดจะแสนดี
2.แบบไม่ดี.. คุณสมบัติก็ตรงกันข้ามกันน่ะแหละครับง่ายๆ คือ มักจะไม่ใช่ติเพื่อก่อ แต่มักจะเป็นพวกติเอามันไม่มีเมตตา ไม่มีการค้นคว้าเท่าที่ควร นึกอยากจะเขียนก็เขียนเลย ส่วนใหญ่จะเป็นพวกต้องเขียนๆ ไปพอมีต้นฉบับ แต่ไหนๆ ก็จะเขียนแล้วก็ด่าๆ เขาเสียหน่อย เพราะจับจุดได้ว่า ชาวบ้านชอบเห็นคนด่ากันมากกว่าคนยอกัน เหมือนชอบกินของเผ็ดๆ มากกว่าของหวานเลี่ยนนั่นแหละ… ผมก็คงจัดอยู่ในพวกนี้นั่นแหละ ฮ่าๆ… เพียงแต่ผมไม่กล้าว่าใครแรงๆ เพราะกลัวถูกถีบเท่านั้นแหละ
เหตุผลส่วนใหญ่ที่คนทำงานกับนักวิจารณ์มักจะไม่ค่อยชอบหน้ากันนักก็เพราะพูดกันคนละภาษา คนทำงานก็พูดภาษาศิลปะที่มีธุรกิจและความเป็นไปได้เป็นพื้นฐาน แต่นักวิจารณ์บางทีก็ชอบพูดภาษาศิลปะที่เป็นอุดมคติ และดูเหมือนจะอยากให้ศิลปินทั้งประเทศกินแกลบกันเสียจริง
ก็อยากจะให้ทั้งนักร้อง นักดนตรี คนทำเพลง กับนักวิจารณ์ เดินเข้ามาหาจุดกึ่งกลางกันได้บ้างก็ยังดี นักร้องก็ขอให้เข้าใจว่า การมีนักวิจารณ์ซึ่งถือว่าเป็นปากเสียงของคนฟังเพลงนั้น ก็จะได้เป็นการเตือนให้เราได้ทำงานถูกต้อง และเข้าใกล้หัวใจของคนฟังมากขึ้น ซึ่งถ้าเราจับประโยชน์ได้ก็จะมีประโยชน์ทั้งทางด้านกล่องและเงินไปเอง
ส่วนนักวิจารณ์นั้นเล่า เลิกเสียเถอะครับที่มองอะไรก็เป็นอุดมคติเกินไป เป็นแบบแผนเกินไป หรือเอาแต่ใจตัวเองเกินไป ตัวเองชอบอะไรก็อยากจะให้เขาทำมาอย่างนั้นไปเสียหมด โดยไม่สนใจว่าสไตล์หรือแบบอย่างของใครเป็นอย่างไร…นักร้องเขาก็อยากรวยบ้าง และก็อยากทำอะไรดีๆ ทั้งนั้น แต่ถ้าทำอะไรดีเกินไปจนไม่มีข้าวกิน ก็คงทำได้ไม่กี่น้ำหรอกครับ ไอ้ประเภทมานั่งจับผิดทุกคำพูด… เอาคำร้องแต่ละคำไปตีความตามใจตัวเองคิด แล้วคิดลึกซึ้งไปเองคนเดียวนั้น ผมอ่านแล้วก็ยังขำ
เคยมีนะฮะ.. วิจารณ์การใช้คอร์ด วิจารณ์แต่ละโน้ต อะไรอย่างนี้มันดูเป็นวิชาการดีหรอกฮะ แต่ศิลปะทุกชนิดในโลกไม่มีถูกหรือผิด จะว่ากันก็ใช่ที่ และก็อีกอย่าง คือชาวบ้านที่อ่านก็คงไม่ค่อยอยากจะรู้เรื่องเท่าไหร่ ถ้าอยากจะให้ความรู้ ก็ขอให้ทำอย่างชาวบ้านๆ เถอะครับ อย่างทำอย่างนักวิชาการช่างโอ่กันนักเลย
แน่ะ..ด่าพวกเดียวกันซะแล้วมั้ยล่ะ…ชักแสบเองแล้วซี
น. ห่อนาค
ในนิตยสาร นะคะ (นะครับ) ฉบับ 27 พ.ค. ปี 2530