พระนราธิป ตัวโน๊ตที่หายไป

พระนราธิป ตัวโน้ตที่หายไป (คัดลอกจาก หนังสือ แพรว)

ยี่สิบปีก่อน “ชาตรี” วงดนตรีชื่อไทยๆ แจ้งเกิดและได้รับการต้อนรับจากแฟนเพลงอย่างอบอุ่นด้วยผลงานที่โดดเด่นต่างจากวงสตริงในขณะนั้น โด่งดังอยู่นานจวบจนกระทั่งพวกเขาประกาศอำลาเวที
หลังจากนั้นนราธิป กาญจนวัฒน์ หนึ่งในห้าของชาตรี ผู้ทำหน้าที่หัวหน้าวง แต่งเพลง และร้องนำ
จึงตัดสินใจละจากโลกฆราวาส เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตลอดชีวิต
วันนี้แพรวมีโอกาสไปนมัสการพระนราธิปที่วัดลานนางฟ้า จังหวัดลพบุรี และได้รับความกรุณาให้พูดคุยซักถามได้ทุกเรื่อง
“ชีวิตเราตั้งแต่เกิดมาได้พูดอะไรไปมากมาย ขอเพียงประโยคเดียวที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่นก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วโยม”

ขอรบกวนท่านเล่าย้อนกลับไปถึงสมัยที่ยังเป็นฆราวาสอย่างย่อๆ

อาตมาเป็นลูกคนเดียว มีน้องสาวคนละแม่สองคน เรารับรู้ตั้งแต่เด็กว่าโยมพ่อแม่แยกทางกัน แต่ไม่คิดว่านั่นเป็นปมด้อย ไม่รู้สึกว่าขาดหรือเกิน คิดว่าปัญหาของผู้ใหญ่คือของผู้ใหญ่ คงเพราะได้รับการปลูกฝั่งที่ดี บวกกับเรามีพื้นฐานดีเป็นทุนเดิม เคยได้ยินไหม เด็กบางคนพ่อแม่เฝ้าอบรมสั่งสอนอยากให้เป็นคนดีแต่ไม่เป็นผล บางคนไม่ต้องสอนอะไรมากก็รักดี เราจึงไม่เชื่อว่าบุคคลที่อยู่ในครอบครัวที่มีปัญหาจะต้องเป็นคนก้าวร้าวหรือทำตัวเป็นปัญหาของสังคมเสมอไป แต่จังหวะชีวิตอาจทำให้คนนอกมองว่าเราห่างจากครอบครัวเพราะอยู่โรงเรียนประจำที่อัสสัมชัญศรีราชา พ่อเป็นนักร้องก็ต้องตระเวนไปทั่วประเทศอีก เขาเรียกว่าสายกรรมพาไป
จากอัสสัมชัญมาเรียนต่อที่เอซีซี อัสสัมชัญคอมเมิร์ช เรียนได้ปีกว่าก็ลาออก คิดว่าถ้าขืนยังเรียนต่อโดนไล่ออกแน่ๆ เพราะเรียนอ่อน ใจนะรัก แต่ปฏิบัติไม่ได้ก็ต้องขอลามาเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสดี เพราะทำให้ได้มาเจอเพื่อนๆ ที่ชอบดนตรีเหมือนกันอย่าง คทาวุธ สะท้านไตรภพ, ประเทือง อุดมกิจนุภาพ, อนุสรณ์ คำประเสริฐ ส่วนประยูร เมธีธรรมนาถ เรียนอยู่รามฯ มาเจอกันทีหลัง

ท่านเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

หัดเล่นกีตาร์ตั้งแต่ ม.ศ. 1 พอขึ้น ม.ศ. 2 มีงานประกวดร้องเพลงเนื่องในวันเด็ก เลยตั้งใจว่า นอกจากร้องเพลงฝรั่งตามข้อบังคับแล้ว ในส่วนของเพลงไทยอยากจะร้องเพลงของเราเอง จึงแต่งเพลงชื่อ “รักไม่จากจร” ปรากฏว่าได้รางวัล จากวันนั้นเราก็รู้สึกว่าอยากมีเพลงของตัวเองมากๆ แปลกนะ อาตมาแต่งเพลงได้โดยที่ไม่ได้เรียนเรื่องโน้ต ทุกวันนี้ก็ไม่รู้แต่งไปโดยธรรมชาติ อาจจะเป็นพรสวรรค์ก็ได้ ว่างเข้าก็หาที่แต่งเพลงตลอด
จนได้มาพบกับอาจารย์ไพบูลย์ ศุภวารี ปี 2516 ท่านเห็นว่าเด็กพวกนี้มีผลงานของตัวเอง น่าจะให้การสนับสนุน เลยชวนไปออกรายการวิทยุและทีวี เราจึงยิ่งมีกำลังใจแต่งเพลงเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ จนได้ทำเป็นอัลบั้ม ฉะนั้นต้องบอกว่า อาจารย์ไพบูลย์เป็นผู้ที่จุดประกายให้เกิดวงชาตรีอย่างแท้จริง

ชื่อวงชาตรีมีที่มาไหมคะ

สมัยก่อนวงดนตรีที่เป็นวงสตริง ดิอิมพอสซิเบิล รอยัลสไปรท์ ใช้ชื่อฝรั่งหมดเลย แต่เราอยากเริ่มด้วยเพลงไทยตายด้วยเพลงไทย ชื่อวงก็ควรจะไทยๆ จึงขอยืมชื่อชาตรี ซึ่งเป็นชื่อหนังสือของโยมพ่อที่ทำเกี่ยวกับพระเครื่อง กล้วยไม้ ของเก่า วัตถุโบราณ งานอดิเรก ฯลฯ มาใช้

พอได้ออกเทปกับบริษัทเมโทรแผ่นเสียง อาจารย์ไพบูลย์ก็พาไปออกทีวีช่อง 8 ช่อง 10 ตามต่างจังหวัด ทำให้ชาตรีเริ่มเป็นที่รู้จัก ด้วยเพลงแรกคือ “จากไปลอนดอน” ชื่อเดียวกับอัลบั้ม
สมัยก่อนกระแสสื่อสารมวลชนยังไม่เหมือนสมัยนี้ ที่พัวะเดียวดังเลย จึงค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ค่อยๆ ดัง ค่อยๆ ดับ (หัวเราะ) สมัยนี้ดังเร็วรีบดับ บางทียังไม่ทันรู้จักเลย ดับแล้ว

สังเกตได้ว่าท่านแต่งเพลงรักได้กินใจมาก

คิดไปแล้วก็ตลกนะ ที่เราแต่งเพลงรักมากมายทั้งที่ไม่มีประสบการณ์แก่กล้าเหมือนในเพลง เคยได้รับเชิญจากนักศึกษาธรรมศาสตร์ให้ไปอภิปรายเรื่องความรัก ก็ต้องขอโทษเขาไปว่า ผมไม่ได้มีประสบการณ์ความรักมากมายหลากหลายอย่างเรื่องที่แต่งไว้ในเพลงหรอก ถ้าผมมีประสบการณ์อย่างนั้น หัวใจผมคงแตกสลายเป็นผุยผงไปแล้วละ ความรักนะมี แต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแน่นอน

ทำไมนราธิปถึงถนัดเขียนแต่เพลงรักเรื่องนี้น่าคิดเหมือนกัน คาดว่าคงจะเป็นบุคลิกเก่า อุปนิสัยในชาติเก่า นราธิปต้องเคยเป็นนักรักในอดีต เขาเรียกเชื้อเก่า ชาตินี้ก็มีบ้างตามนิสัยมนุษย์ แต่ไม่เหมือนในเพลงหรอก

ขอความกรุณาเล่าบรรยากาศตอนที่วงชาตรีดังมากๆ สักนิดนะคะ

คิดไปก็ไม่น่าเชื่อว่าเราจะดังมาก มีคนชอบมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งไปเล่นคอนเสิร์ตที่ขอนแก่น คนแน่นขนาดกระจกในห้องขายตั๋วแตก เป็นไปได้ถึงขนาดนั้น
ยอดจำหน่ายเทปก็ได้เป็นแสนๆ ซึ่งมากสำหรับตอนนั้น จำได้ว่าวงของเราจะได้รับรางวัลจากทางอีเอ็มไอในฐานะที่เป็นศิลปินที่มียอดจำหน่ายสูงอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ว่าค่าตอบแทนจะเป็นเท่าไหร่ สมาชิกทุกคนได้เท่ากันหมด รายได้ทุกอย่างหารห้า ไม่มีการว่านราธิปเป็นนักร้องนำ เป็นหัวหน้าวงแล้วจะได้มากกว่า จุดนี้จึงยืนยันได้ว่าวงชาตรีอยู่กันเพราะใจรักจริงๆ ไม่ใช่ผลประโยชน์ ลึกไปกว่านั้นเราเป็นเพื่อนกันไม่ได้ทำแบบธุรกิจจ๋า

ย้อนกลับไปคิดก็รู้สึกได้ว่า จุดที่ค่อนข้างประทับใจมากในการเป็นนักร้องคือ ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเดินสายเพื่อโปรโมท คิดไอเดีย แจกแผ่นเสียง เห็นว่าสมัยนี้นักร้องร้องอย่างเดียว อย่างอื่นมีคนจัดการให้เรียบร้อยแม้แต่เรื่องแต่งตัวใช่ไหมโยม
ของเราแต่งกันเอง ชอบอะไรใส่อย่างนั้น ง่ายๆ ไม่ทราบจะเรียกฟุ้งเฟ้อไหม คือเป็นคนประเภทตัดสินใจเร็ว อยากซื้อซื้อเลย ไม่คิด ไม่ต่อราคา แต่ไม่ได้เน้นยี่ห้อ

ความรู้สึกตอนที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างไรคะ

ดีใจ แต่ไม่ได้ลุ่มหลง รู้ตัวทุกอย่างจึงขีดกรอบไว้ระหว่างเรากับแฟนเพลงว่าจะไม่ให้ความสัมพันธ์สนิทสนมจนเกินเลย ทุกอย่างอยู่ในความพอสมควร เรารู้ว่าวัยรุ่นเป็นวัยที่ติดเพื่อน ถ้าเพื่อนดี เขาก็จะมีชีวิตที่ดี จึงควรเป็นตัวอย่างที่ดีเป็นเพื่อน เป็นพี่ที่ดีให้เขา ไม่ควรจะไปฉวยโอกาสล่วงเกินใคร สิ่งใดที่ไม่ควรทำให้ผู้อื่นเสียประโยชน์หรือร้าวรานใจก็อย่าทำ นี่เป็นความคิดส่วนตัวที่ไม่ต้องการให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา จึงตีกรอบกันเอาไว้ก่อน ดูไปก็คล้ายนักบวชแล้วนะตอนนั้น

เราไม่ลุ่มหลง ไม่ตักตวง วงชาตรีจะเล่นคอนเสิร์ตหรือออกงานเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ เพื่อที่วันธรรมดาจะได้เรียนหนังสือ แม้กระทั่งจบแล้วก็ยังยึดแนวปฏิบัตินี้ไว้ เราไม่วิ่งรอก จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาเสพติด เวลาขึ้นเวทีจะเอาแต่หัวใจขึ้นไป ไม่ว่าคนดูจะมีร้อยหรือสิบคนก็ทำเหมือนกัน แต่เราบวชที่วัดถ้ำกระบอก รู้ว่าหลายคนไปตีความผิด คิดว่าเราคงติดยา ความจริงถ้ำกระบอกมียาเลิกทุกอย่างนั่นละ เบื่อการเวียนว่ายตายเกิดก็ไปเลิกได้ หลงตัวเองก็เลิกได้

สาเหตุที่ยุบวงชาตรีคืออะไรคะ

ชาตรีเลิกเพราะถึงที่สุดของมันแล้ว เราเองที่แต่งเพลงจนมีผลงานทั้งหมดสิบกว่าชุด ถามว่าเบื่อไหม เบื่อมาก ตอนหลังที่แต่งน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะหมดข้อมูล แต่มันจำเจ อีกอย่างสมาชิกในวงก็มีงานที่ต้องทำทุกคน ช่วงแรกเรียนหนังสือด้วยกัน จึงมีเวลาว่างพร้อมกันใกล้ชิดกัน แต่พอเรียนจบ บางคนมีธุรกิจส่วนตัว มีภารกิจทางบ้านหลายอย่าง ดนตรีที่เคยเป็นหัวใจก็กลายเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต จึงตัดสินใจเลิก เราต้องรู้ฐานะของตัวเอง เหมือนตอนที่ชิงลาออกจากคอมเมิร์ชเสียก่อนที่เขาจะไล่ออก จบเสียตั้งแต่ตอนที่ทุกอย่างยังสวยงามดีกว่า ชาตรีจะได้เป็นอมตะ

ต้นปี 2528 จึงประกาศอำลาอย่างเป็นทางการบนเวทีโลกดนตรี มีเสียงค้านจากแฟนเพลงหลายคนว่ายังไม่ถึงเวลา แต่เราตัดสินใจเด็ดขาดแล้วด้วยเจตนาดี อย่างที่บอกว่าไม่อยากเป็นผลไม้ที่สุกเกินงอมจนนำไปทำประโยชน์อะไรไม่ได้ รอแต่วันที่จะรวงหล่นจากต้น แต่ก็ไม่เลิกแบบปุบปับ มีการเตรียมตัวพอสมควรยังแต่งเพลง “จำจากจร” ไว้ในอัลบั้มอธิษฐานรัก ซึ่งเป็นอัลบั้มสุดท้ายด้วยเลย และถึงจะเลิกร้องเพลงแล้ว แต่ยังมีงานแต่งเพลงกับงานที่ห้องอัดบ้าง ยังไม่ได้บวชทันที

ท่านมีความคิดจะบวชตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

นานมาแล้วละ เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาชัดเจน คล้ายกับเป็นวิธีดำเนินชีวิตที่เหมือนจะเตรียมพร้อมมากกว่า อย่างสมัยมัธยม วันหนึ่งจู่ๆ ก็พูดกับเพื่อนว่าโตขึ้นเราจะไม่มีลูกหรอก โดยไม่เข้าใจว่าทำไมพูดไปอย่างนั้น
โยมแม่เปิดเทปธรรมะให้ฟังตั้งแต่เด็กจนโต เรียกว่ามีพื้นมาบ้างพอสมควร ช่วงใกล้บวช เพื่อนบ้านที่มีใจใฝ่ธรรมะชอบมาคุยด้วย คุยมากๆ เช้า เราก็เริ่มถามตัวเองว่า หรือเราจะอยู่ผิดที่ผิดทาง

แล้วทำไมจึงเลือกบวชที่วัดถ้ำกระบอกคะ

เชื่อไหม ปี 2520 อาตมาเคยไปเล่นดนตรีต่อต้านยาเสพติดที่ถ้ำกระบอกตอนนั้นไม่รู้สึกศรัทธาเลย คิดด้วยซ้ำไปว่าถ้าจะบวช ถ้ำกระบอกคงเป็นวัดสุดท้ายที่จะอยู่
จนปี 2530 ได้พบอาจารย์เจริญ ปานจันทร์ ที่วัดถ้ำกระบอก ท่านพูดเตือนสติให้คิดว่า

นราธิป…ชีวิตการทำงานของเธอมันจบลงแล้ว อุปมาเหมือนส้มที่หล่นลงไปในน้ำ เวลานี้จะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว จะทำต่อก็ได้ แต่การทู่ซี้ไม่ดีหรอก ชีวิตที่ผ่านมาของเธอเหมือนชิงช้าสวรรค์ ขึ้นแล้วก็ลง แล้วก็ขึ้นอยู่อย่างนี้ ฉันบอกเธอไม่ได้หรอกว่าต้องทำอย่างไร เธอต้องกลับไปทำตัวให้ชัดเจน คืนนั้นฝันเห็นพระรูปหนึ่งมาบอกว่า เธอไปบวชแทนคนที่เขาอยากบวชแต่ไม่ได้บวชสิ …ตื่นขึ้นมาเข้าใจเลยว่าคนคนนั้นคือเรานั่นเอง ที่อยากบวช แต่หาโอกาสไม่ได้สักที

ตัดสินใจแล้วก็จุดธูปบอกหลวงพ่อที่วัดถ้ำกระบอกว่าขอเวลาสักหนึ่งปีเพื่อเคลียร์ปัญหาชีวิตที่คั่งค้างอยู่ก่อน ผ่านไปสองเดือน ขณะที่จัดการปลดสายพานชีวิตต่างๆ คิดขึ้นได้ว่า ถ้ามัวนั่งเคลียร์ปัญหาอยู่อย่างนี้ นานเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด ถ้าคิดจะบวชก็วางมือเลยแล้วกัน

แล้วทางครอบครัวท่านมีความเห็นอย่างไรคะ

โยมพ่อบอกว่าดี แต่อยากให้ใช้ชีวิตทางโลกอีกสักหน่อย ท่านอยากเห็นชีวิตทางโลกที่รุ่งเรืองของลูกอีก คือไม่ได้ห้ามแต่ไม่สนับสนุนนัก
ส่วนโยมอดีตแม่บ้านของอาตมา (ไศลโสภิณ กาญจนวัฒน์) แม้ในตอนแรกจะบอกว่าขอประวิงเวลาไว้อีกสักหน่อยได้ไหม แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ เขาก็อนุโมทนามาส่งเราเข้าโบสถ์ เขาเข้าใจเราตั้งแต่เรื่องที่ไม่อยากมีลูกแล้ว ไม่เคยว่าอะไร แต่คนอื่นมักจะว่า รู้ไหมนราธิป คนที่ไม่มีลูกคือคนบาป อาตมาบอก ไม่หรอกครับ เพราะผมเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าบอกว่า การมีชีวิตเป็นทุกข์ แม้แต่ตอนที่มีความสุขก็คือทุกข์ เพราะมันไม่เที่ยง การทำตามพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องของการตัด ไม่ใช่การต่อ

ต้องบอกว่าโยมอดีตแม่บ้านเป็นกำลังสำคัญ เพราะเป็นคนที่เปิดทาง ไม่ขวางทางเรา ต้องขออนุโมทนาไว้อีกครั้ง เขาไม่เห็นแก่ตัว ยอมเสียหลักชัยของเขาให้เราได้บวช ส่วนเขาก็จะมีกรรมของเขาเลี้ยงตัวเองตลอดไป ถ้าเป็นคนดี ทำกุศลมาในอดีต กุศลจะช่วยเขาเอง เราไม่จำเป็นต้องห่วงแทนใคร เพราะทุกคนย่อมมีกรรมเป็นของตน ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น เราสองคนเป็นเพียงคู่คล้องกรรม เมื่อถึงทางแยกก็ต้องจากกันไป ไม่ใช่เรื่องว่าใครทิ้งใคร

รวมแล้วใช้ชีวิตครอบครัวอยู่สิบปีก็หมดเวลา แต่ไม่ใช่หมดรัก มันเหมือนเดินมาถึงทางแยกแล้วเราเลือกเดินทางนี้ก็จำเป็นต้องละทางเก่าเป็นธรรมดา แต่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า ตลอดชีวิตนี้ที่ได้ทำความดีมาจนถึงปัจจุบัน ขออุทิศให้ผู้มีคุณที่ช่วยเปิดทางให้เดิน สรุปว่าตัดสินใจแล้วก็บวชเงียบๆ ที่วัดถ้ำกระบอกในปี 2532 ขณะนั้นอายุ 36 ปี
แล้วก็บอคุณไศลโสภิณว่า นับจากนี้โยมมีชีวิตที่เป็นอิสระ เป็นสิทธิ์ของตนที่จะตัดสินใจ สิ่งใดควรไม่ควร ทำได้เลย ไม่ต้องห่วงเรา เพราะเราจะไม่ถอยกลับแล้ว โยมอยู่ทางโลกก็ใช้ชีวิตในทางที่ดีที่สุด ไม่ต้องถามหลวงพี่ว่าได้ไหม ควรไหม ทำไปเลย

ส่วนพวกลิขสิทธิ์เพลงต่างๆ หรือกิจการ เช่น ห้องซ้อมดนตรี ทุกๆ อย่างที่ทิ้งไว้ให้ข้างหลังนั้น สุดแล้วแต่ว่าเขาจะนำไปทำอะไร

ท่านตั้งใจบวชไม่สึกตั้งแต่แรกเลยหรือคะ

เราถวายสัจจะขอบวชไม่สึกตลอดชีวิตเพื่อเป็นการปิดประตูและเป็นการช่วยตัวเองอีกทาง จะได้ยึดสัจจะเอาไว้ไม่ให้โลเลเหมือนไม้หลักปักเลน เอาซีเมนต์เทเสียหน่อยจะได้มั่นคง เพราะบางครั้งจิตใจเราก็อ่อนแอหรือถูกมารผจญบ้าง ถ้าเอาสัจจะข้อนี้ขึ้นมาพิจารณาไตร่ตรองอยู่เสมอก็ช่วยได้

วัดถ้ำกระบอกเป็นสถานที่รักษาผู้ติดยาเสพติดท่านได้มีส่วนร่วมช่วยงานนี้บ้างไหมคะ

อาตมาเป็นฝ่ายลงทะเบียนเวลามีโยมที่ติดยามาขอรับการรักษาตัว ต้องบันทึกว่าเขาคือใคร มาจากไหน เป็นอะไรมา มาอยู่รักษาตัวแล้วต้องถวายสัจจะว่าจะไม่กลับไปเสพยาทุกชนิดอีก ซึ่งส่วนมากจะบอกว่าได้ แต่บางคนหายแล้วก็พ่ายแพ้แก่จิตใจของตนเอง กลับไปเสพยาอีกอย่างที่ทราบกันว่า ที่ถ้ำกระบอกจะมียาสมุนไพร เรียกว่ายาตัดที่จะไปล้างคราบภายในออกมา จากนั้นก็ไปอบตัว สลับอยู่อย่างนี้ประมาณหนึ่งเดือน แต่การกินยาได้ผลแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นเรื่องของจิตใจ ถ้าเขารักษาสัจจะก็จะไปถึงฝั่ง และถ้ารักษาสัจจะเท่าชีวิตได้ ก็กลายเป็นคนใหม่ได้เลย จะไม่มีทางตกเป็นทาสยาเสพติดหรือกลับไปตกกระทะทองแดงอีก

แต่บางคนเสพยามาหนักเกินกว่าร่างกายจะรับได้ เกิดอาการประสาทหลอนจะทำร้ายพ่อแม่ เห็นพระก็จะโดดเข้าชกเห็นแล้วสะท้อนใจว่า ถ้าโลกเต็มไปด้วยคนอย่างนี้ ก็จะมีแต่คนที่ทุพพลภาพทั้งกายใจ เหมือนต้นไม้ที่กลวง

แล้วเพราะเหตุใดท่านจึงย้ายมาปฏิบัติธรรมที่วัดลานนางฟ้าคะ

อยู่ที่วัดถ้ำกระบอกประมาณ 3 ปี ท่านอาจารย์เจริญบอกว่าหมดเวลาที่ท่านจะมาถามผมแล้ว
จากนี้ไปต้องเรียนเอง ถามเอง ตอบเอง
แล้วท่านก็ส่งมาอยู่ที่วัดลานนางฟ้า (วัดเนินรังวรปัญญาราม) จังหวัดลพบุรี ชื่อลานนางฟ้านี่มีเรื่องเล่า สมัยโบราณป่าแถวนี้เป็นป่าโปร่ง มีลานหิน มีแอ่งน้ำให้พวกสัตว์ต่างๆ มากิน รวมทั้งนกยูง ชาวบ้านให้สมญานกยูงว่าเป็นราชินีนกเพราะความสวยงามของมัน และตั้งชื่อลานนี้ว่าลานนางฟ้า แต่มีเรื่องลับๆ กว่านั้น ท่านอาจารย์เจริญเล่าให้ฟังก่อนที่อาตมาจะมาที่นี่ว่า ตรงลานนางฟ้านี้มีตำนาน เชื่อกันว่ามีอีกเมืองหนึ่งซ้อนอยู่ ถ้าใครมีตาทิพย์จึงจะเห็นคนเมืองลับแล วันที่ 24 มกราคม ของทุกปีเป็นวันสถาปนาวัดจะมีพิธีแจกอาหารหวานคาวเป็นการฉลองให้คนที่นี่และคนในลานนางฟ้าด้วย
แต่สมัยที่มาอยู่ใหม่ๆ วัดยังไม่เป็นอย่างที่โยมเห็นตอนนี้หรอก

เป็นอย่างไรคะ

มีแต่กุฏิไม้ ปลวกกินทั้งหลัง ไม่มีไฟฟ้า ทุกวันนี้ถ้าจะใช้ไฟก็ต้องปั่นหรือไม่ก็ใช้เทียน แต่อยู่ในป่าอย่างนี้ดีที่สุดคือ เวลากลางคืนควรจะให้ในอาคารมืดแล้วจุดไฟไว้ข้างนอก เพราะแมลงเยอะเหลือเกิน ถ้าเปิดไฟ แมลงทั้งหมดจะวิ่งเข้ามาหา อยู่ไปก็ค่อยเรียนรู้ว่าทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ข้างในว่างกว่าข้างนอก ไม่อย่างนั้นจะต้องทนรำคาญกับแมลงมากมาย ซึ่งการป้องกันแมลงนี้ทำให้เราชินกับการอยู่ในความมืดไปโดยปริยาย
ส่วนทางเข้าวัดก็อย่างที่โยมเห็นว่าไกลจากตัวเมืองกว่าสามสิบกิโลเมตร การบิณฑบาตจึงเป็นไปได้ยาก อาศัยว่ามีโยมมาถวายข้าวสารอาหารแห้งไว้ให้ อาตมาฉันเช้าเพียงมื้อเดียวก็ไม่เดือดร้อนอะไร ส่วนคนที่จะมาปฎิบัติธรรมหรือมาตกรถแถวลานนางฟ้าก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องกินข้าวลิง ที่นี่มีโรงทานไว้สำหรับจะไปหุงหากันเอง อย่างน้อยมีไข่ มีน้ำมัน เราอยู่กันอย่างไม่มีพิธีรีตอง ไม่เรื่องมาก

มาอยู่รูปเดียว กลัวบ้างไหมคะ

เรื่องกลัวนี่ ถึงจะไม่ใช่คนขวัญอ่อน แต่พอมาอยู่กับความเงียบที่เงียบสงัด ความมืดที่มืดสนิท บางครั้งก็มีอาการตกใจบ้าง แต่ไม่ใช่อุปสรรคอะไร ถ้าเราทำตัวเป็นนักบวชที่ดี คนดีคงไม่มีใครเกลียด ไม่เคยเจออะไรน่ากลัว แต่เคยเจออะไรแปลกๆ เหมือนกัน
บางทีเหมือนมีใครมาคุยด้วย อย่างคำพูดที่แว่วเข้ามาในหัว พบแล้วไม่คิดของดีก็ไม่ผุด ผู้ใดอยากรู้ ผู้นั้นต้องเพียรเอง เหมือนคลื่นความคิดของใครที่ส่งมาถึงเราโดยทางอ้อมว่า ถ้ามัวแต่ฟังผู้อื่นก็ได้แต่ฟัง
ต้องลงมือปฏิบัติเองจึงจะรู้
บางทีก็เป็นสัตว์ ตอนแรกประตูกุฏิยังทำไม่เรียบร้อย คืนหนึ่งรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในผ้าห่ม ตอนแรกข้างบน แล้วย้ายไปข้างล่าง จึงเปิดผ้าห่มเอาไฟฉายส่องดูเห็นว่าเป็นงูตัวย่อมๆ ก็หาไม้มาม้วนไปทิ้ง รุ่งเช้าเห็นงูตัวใหญ่เลื้อยมา คาดว่าจะเป็นแม่ของตัวเมื่อคืน ก็บอกไปดังๆ ว่า เราไม่ได้ทำอะไรลูกเธอนะ เอาไปปล่อยแล้ววันหลังเลี้ยงลูกดีๆ หน่อยสิ เลี้ยงอย่างไรปล่อยให้เข้ากุฏิพระ พระสงฆ์องค์เจ้าจะนอน คราวหลังไม่ต้องมานอนเป็นเพื่อนเราหรอกนะ นอนข้างนอกก็แล้วกัน งูส่วนงู พระส่วนพระ แต่อุปมาก็เหมือนเขามาเตือนว่าอยู่คนเดียวต้องรู้จักระวังตัว อย่าประมาท ควรจะปิดประตูให้เรียบร้อยมิดชิด
การฝึกใจให้ชินกับการอยู่คนเดียวกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เราไม่กลัวกับสิ่งเหล่านี้ อย่างงูที่โยมเห็นเลื้อยผ่านหน้าไปเมื่อสักครู่ ถ้าเราไม่ไปทำอะไรเขา เขาจะเป็นฝ่ายรีบหลบไปเอง หรือที่ไหนที่ไม่ควรเข้าไปเนื่องจากไม่เหมาะหรือเจ้าของเขาอาจไม่ต้อนรับ ก็อย่าเข้าไป เพราะไม่เสมอไปว่าทุกๆ แห่งจะมีแต่คนที่ต้อนรับพระ ที่เขาไม่ต้อนรับก็มี

ขอความกรุณาท่านเล่าถึงกิจวัตรประจำวันบ้างค่ะ

อาตมาตื่นหกโมงเช้าแล้วเปิดเทปธรรมะให้พระฟัง เพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตที่ดี ฉันเช้ามื้อเดียว แล้วก็พิจารณาสัจจะ วันนี้พิจารณาแล้วตอบอย่างนี้ อีกสิบวันคำตอบจะเปลี่ยนไปไหม สิบปีข้างหน้าล่ะ ซึ่งคำตอบเหล่านี้ไม่มีถูกผิด เป็นการใช้ตนฝึกตนที่ดี เวลาว่างก็ดูแลความเรียบร้อยต่างหๆ เย็นสวดมนต์เย็นด้วยกัน อยู่กันง่ายๆ เขาเรียกทำไป ไม่ใช่ทำอยู่ หมายถึงทำโดยไม่หวังผลตอบแทน อย่างการก่อสร้างในวัด อาจจะวางรูปแบบคร่าวๆ แต่ไม่กะเกณฑ์ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ เราแค่อยากมาสร้างความเจริญในทางธรรม ชี้ทางให้โยม ส่วนเรื่องของสถานที่หรือผู้คนเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น
ตอนนี้ลานนางฟ้ามีพระ 3 รูป ทุกรูปมีสัจจะในการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน เช่น ฉันวันละหนึ่งมื้อ ธุดงค์ปีละหนึ่งครั้ง

ท่านธุดงค์ไปที่ใดบ้างคะ

ตอนอยู่ถ้ำกระบอก ส่วนใหญ่อาตมาจะธุดงค์เดินวนๆ อยู่แถวนั้น อยู่ที่นี่ก็ไปไม่ไกล ประมาณ 50 กิโลเมตร ความจริงใกล้ไกลไม่สำคัญ เป็นการออกไปหารสสัมผัสของพระธรรมในรูปแบบอื่นบ้าง เช่น เคยฉันในกุฏิ ก็ออกไปฉันกลางดินกลางทราย ไปนอนในที่เปียกชื้น หรือเจอพายุ ถือว่าไปลดละ ฝึกขันติอดทนในภาคปฏิบัติ ระยะเวลาในการธุดงค์ขึ้นอยู่ว่าเราตั้งสัจจะไว้กี่วัน 30 วัน 15 วัน 7 วัน ทุกอย่างอยู่ในสัจจะหมด ไม่ทำลอยๆ
ระหว่างธุดงค์แน่นอนว่าต้องเจอสัตว์ต่างๆ บ้าง จะไปโทษเขาก็ไม่ได้ เราเข้าไปในที่ของเขา ต้องใช้วิธีสำรวม แผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งที่เห็นและไม่เห็น บางครั้งไปนอนทับที่ของงู ตะขาบ แต่ไม่เคยโดนกัด บางครั้งพวกเขาก็เหมือนเจ้ากรรมนายเวร ที่อาจจะขบกัดเราได้ถึงแม้เราจะไปด้วยใจเมตตา แต่ใครจะรู้ว่าเราไปทำอะไรเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนสัตว์ใหญ่ๆ ไม่เคยเจอ เพราะไม่ได้เข้าป่าลึก ต่อไปอาจจะธุดงค์ใกล้ๆ แถวนี้ แล้วพาเด็กๆ ไปด้วย ให้เขาได้รู้จักนิสัยของสัจจะ

การมีอดีตเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง ทำให้มีโยมแฟนเพลงมาที่วัดบ้างไหมคะ

แรกๆ มีบ้าง แต่พอมาอยู่ป่าอย่างนี้นานไปก็ไม่มีใครสนใจ คล้ายว่าอยากอยู่ป่าก็อยู่เสียให้เข็ด(หัวเราะ) มีแต่ไปลือว่าพระนราธิปตายแล้ว ความจริงก็ดี จะได้จบๆ ไปใช่ไหม เราก็อยากให้กิเลสของพระนราธิปจงตายไปเสียก่อนจะหมดลมหายใจ
บวชมาสิบกว่าปี ละกิเลสไปได้พอสมควร ก่อนนี้รู้ตัวว่าโกรธง่าย อ่อนไหวง่าย หงุดหงิดเก่ง เรียกว่าโทสะจริตเยอะ บวชแล้วก็ดีขึ้นโดยลำดับ มีเหตุผลให้ตัวเอง มีปัญญาเข้าถึงสัจธรรมมากขึ้นถ้ารู้เท่าทัน โทสะจะค่อยๆ ดับไปเอง หรือถ้าเราเลือกจะมีความไม่โกรธ ความโกรธก็จะหายไป ให้โอกาสตัวเองว่า กิเลสอันใดที่ยังละไม่ได้ ก็ขอให้พยายามต่อไป ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ตึง ไม่หย่อน ทำให้เหมาะกับกำลังของตน พยายามอยู่ในความพอดี ซึ่งพอดีของเราอาจจะหย่อนไป หรือตึงไปสกหรับคนอื่นก็ได้
สำหรับบุคคลทั่วไป ถ้าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะในทุกๆ เรื่อง ก็ถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้วโดยไม่ต้องเข้าสำนักไหน เพราะถ้าเข้าวัดแล้วไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลยปล่อยเวลาให้ว่างเปล่า เหมือนกลักไม้ขีดที่ไม่มีไม้ขีดจุดไฟได้สักก้าน ก็ไม่มีประโยชน์อันใด การเป็นพระที่ดีไม่ใช่ว่าใครก็ติไม่ได้ หรือจะต้องทำตามๆ กันไป ตลอดเวลาเพราะเรื่องของสัจธรรมไม่มีขอบเขต
ทุกวันนี้ถามตัวเองว่า การที่มาบวชมากินมานอนที่ลานนางฟ้า ได้ทำอะไรให้แผ่นดินบ้าง ตอบว่าทำพอสมควร เช่นมีโอกาสได้ช่วยชาวบ้านให้ละเลิกในอบายมุขได้บ้าง จนถูกบางคนต่อว่า ท่านมาเอาลูกค้าผมไปหมดเลย ร้านผมขายเหล้าบุหรี่ไม่ดีเลย ใครๆ ก็มาเลิกที่ท่านหมด
แต่ที่ลานนางฟ้าไม่มีคอร์สเแบบถ้ำกระบอก แค่มาถวายสัจจะแล้วกลับได้เลย คือถ้ารักษาสัจจะก็ทำได้ทั้งนั้น จะอธิบายให้เขาฟังว่า การที่เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นบุญเหลือเกินแล้ว ควรจะแทนคุณผู้ให้กำเนิดด้วยการใช้สังขารไปทำความดี ไม่ใช่เอาไปปู้ยี่ปู้ยำเสพยา แต่ก็ช่วยได้เฉพาะรายที่อาการไม่มากนัก ที่อาการหนักก็ต้องทำใจว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน บางคนกำลังเผชิญอยู่กับอกุศลกรรมอันยากที่ผุ้อื่นจะช่วยเหลือเยียวยาได้ ฉะนั้นที่ช่วยได้ก็มี ช่วยไม่ได้ก็มี หมอทุกคนควรคิดถึงสัจจะข้อนี้

ตลอดระยะเวลาที่บวช ท่านเคยหวั่นไหวต่ออุปสรรคบ้างไหมคะ

แรกๆ มีบ้าง ยังได้แต่งนิทานไว้เรื่องหนึ่ง นิทานเรื่องนั้น ต้นไม้ถามเราว่าพระนราธิป ท่านมานั่งทำหน้าหงอยเหงาเศร้าสร้อยทำไม มีเรื่องอะไรต้องเศร้ากังวลใจกับลาภยศชื่อเสียงเกียรติยศ หรืออะไร ท่านดูผมสิ
เวลานี้หน้าแล้ว ผมสลัดใบทิ้งหมดเพื่อรักษาต้นไว้ก่อน เมื่อฤดูฝนมาใหม่ค่อยผลิใบแผ่กิ่งก้านสาขายืนต้นต่อไป ถ้าท่านหนักอกหนักใจเรื่องใดอยู่ ก็จงปลดทิ้งเสีย ชื่อเสียงเกียรติยศเป็นของเกิดดับ มีแล้วก็ดับ มีแล้วก็หมด ท่านปลดใบอย่างผมแล้วยืนต้นต่อไปสิ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ท่านต้องเจอ เรียกว่าหาเพื่อนไม่ได้ก็คุยกับต้นไม้ ดูดีๆ จะเห็นว่ามีกุศโลบายในการมีชีวิตแทรกอยู่ด้วย
เหมือนกับที่มีคนถามว่า เวลานี้ศาสนาดูเหมือนจะตกต่ำในสายตาของประชาชน ท่านห่วงไหม เราบอกไม่รู้สึกเลย กลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมียุคเจริญก็ต้องมียุคเสื่อม ถ้ายุคนี้จะเป็นยุคเสื่อมของศาสนา เราก็ต้องยอมรับความจริง เพียงแต่เราอย่าทำตัวให้เสื่อมไปกับยุค เหมือนกับที่เราไปบังคับให้คนทั้งโลกเป็นคนดีไม่ได้ แต่เราทำตัวเองให้ดีได้ มองตน ค้นตน แก้ตน ถ้าทำอย่างนี้จะไม่มีเวลาไปมองคนอื่น สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ อะไรถึงเวลาต้องเสื่อมก็เสื่อม ใบไม้ต้องร่วงก็ร่วง คนถึงเวลาหมดลมก็หมด ถ้าคิดได้อย่างนี้ก็จะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข และเป็นสุขที่เป็นสัจจะ ไม่ได้สุขอยู่บนรูป รส กลิ่น เสียง
เมื่อยังมีเวลา ถ้าจะทำดี จงทำเลยไม่ต้องคิด ไม่ต้องเอกซเรย์ว่าคนนั้นดีจริงหรือไม่ สมควรช่วยไหม อย่าทำดีเฉพาะกับคนที่รักหรือคนที่เห็นว่าดี แต่ถ้าเมื่อไหร่จะทำชั่วจงคิดมากๆ คิดจนเลิกทำไปได้ยิ่งดี

ท่านเคยพูดว่าจะขอเดินให้สุดทางธรรม หมายความว่าอย่างไรคะ

เราจะเดินตามเยี่ยงอย่างพระพุทธองค์ โดยขอให้ตัวโน้ตที่ชื่อนราธิปนี้จงดังครั้งเดียวครั้งสุดท้าย แล้วอย่ากลับมาเปล่งเสียงอีกเลย ทำได้ก็ดี ทำไม่ได้ก็ตามอัตภาพ คนที่ปฏิบัติธรรมจนสามารถหลุดพ้นเป็นอริยบุคคลเบื้องสูง นั่นถือว่าสุดทางธรรม ไม่ต้องหวนกลับมาเกิดอีก คนเราเมื่ออยู่จนอยู่ให้ถึงที่สุด มีหน้าที่อะไรก็ทำให้ถึงที่สุด อาจไม่ถูกใจ แต่ก็ต้องทำ เมื่อหมดลมหายใจก็เป็นไปตามอัตภาพ
การเดินให้สุดทางธรรมคือขอเดินตามพระพุทธเจ้าให้ถึงที่สุด ทำสุดแค่ไหนก็ไปแค่นั้น ทำสุดถึงนรกไปนรก สุดอรหันต์ไปอรหันต์ ตั้งเจตนาไว้ก่อน ไปได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง ทุกวันนี้กำลังทำ กำลังเดินอยู่ในคำพูดนั้น โดยมีสัจจะเป็นแกนกลางในชีวิต
ส่วนนราธิปในทางโลกนั้นตายแล้ว เคยมีคนถามว่า ท่านไม่กลับไปร้องเพลงอีกหรือ โถ…โยม ให้อาตมานอนตายอย่างสงบเถิด อย่าขุดศพอาตมาขึ้นมาเลย ไม่รู้จะย้อนกลับไปเพื่ออะไร มีอะไรที่ยังหลงลืมอยู่ข้างนอกหรือ ไม่มีอีกแล้ว ขอให้ลมหายใจที่เหลือเป็นประโยชน์กับมนุษยชาติดีกว่า

Avatar

ผู้เขียน: เจ้าชายน้อย

หนึ่งในสมาชิกทีมเวบไซต์บ้านเพลงเก่า เข้ามาร่วมหัวจมท้ายกับทีมผู้จัดทำ นายเจ มอลลี่ พี่ดา เข้ามาเป็นคนสุดท้าย และก็เป็นผู้ดูแลเว็บบ้านเพลงเก่าในปัจจุบันนี้ ความรู้เรื่องเพลงเก่าอาจจะมีไม่มาก แต่ว่าจะพยายามเก็บรวบรวมข้อมูลเท่าที่จะหาได้นะครับ

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.